รีวิว All-New Toyota Corolla Altis Hybrid ตัวท็อป ค่าตัว 1.099 ล้านบาท

รีวิว All-New Toyota Corolla Altis Hybrid ตัวท็อป ค่าตัว 1.099 ล้านบาท


รีวิว All-New Toyota Corolla Altis Hybrid ตัวท็อป ค่าตัว 1.099 ล้านบาท

รีวิวเต็มกับ All-New Toyota Corolla Altis Hybrid High ตัวท็อปสุดในรุ่น กับค่าตัว 1.099 ล้านบาท

ซึ่งในรุ่นนี้นั้นนับว่าใหม่หมดจรด ตั้งแต่เครื่องยนต์ Hybrid ที่นับว่าเป็นครั้งแรกกับรถในตระกูล C Segment
โครงสร้างตัวถัง TNGA ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับทาง Toyota จนหลายๆ คน เอ่ยปากชมกับการขับขี่ที่สนุกมากขึ้นกว่าเดิม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัว Hybrid High ที่มาพร้อมออพชั่นที่เยอะสุด ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ Toyota Safety Sense หรือระบบเชื่อมต่อ T Connect Telematics


อย่าลืมติดตามพวกเราได้ตามช่องทางอื่นๆ
https://www.autostation.com
https://www.facebook.com/AutostationTH

#Toyota #Altis #Hybrid


Content

0.36 -> ถือว่าเป็นรถยนต์ C Segment รุ่นแรกของประเทศไทยที่มาพร้อมขุมพลังไฮบริด
4.82 -> ราคาค่าตัวรุ่นเริ่มต้นไม่ถึง 1 ล้านบาทกับ All New Toyota Corolla Altis
19.66 -> สำหรับวันนี้ผมอยู่กับ All-New Toyota Corolla Altis Hybrid High ตัวท็อป
24.48 -> ราคาค่าตัวอยู่ที่ 1,099,000 บาท มาพร้อมออฟชั่นจัดเต็มกับขุมพลังไฮบริด
30.6 -> เดี๋ยวจะพาไปชมรูปลักษณ์ภายนอก ภายใน รวมไปถึงการขับขี่ว่าสมรรถนะเป็นอย่างไร
35.28 -> Toyota ยุคใหม่มีการปรับแปลงเป็นแพลตฟอร์ม TNGA หมดแล้ว
39.14 -> ณ ตอนนี้มีทั้ง All New Toyota Camry All New CH-R
43.56 -> และรุ่นนี้ที่เป็น TNGA เน้นความสปอร์ต เน้นการขับขี่ที่สนุกสนานมากยิ่งขึ้น
48.5 -> สังเกตุเห็นไหมว่าดีไซน์เค้าเพิ่มความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น
50.82 -> ฝากระโปรงมีเหลี่ยมสัน มีการยกมัดกล้ามขึ้นมามากยิ่งขึ้น
54.6 -> ส่วนของกระจังหน้าด้วยความที่เป็นรุ่นไฮบริด โลโก้มีการเรืองแสงสีฟ้า
61.06 -> บงบอกว่าเป็นรถพลังงานไฟฟ้า และภายใต้โลโก้มีการติดตั้งเรดาร์มาให้ด้วย
67.26 -> รุ่นนี้จะมี Adaptive Cruise Control ที่สามารถล็อคความเร็วได้จนถึง 0
71.52 -> มีประโยชน์ในการขับขี่ทางไกล กันชนหน้ามีความคล้ายคลึงกับรุ่นพี่อย่าง Toyota Camry
78.78 -> แต่ย่อส่วนลงมา และที่ดูแปลกตาสำหรับรุ่นนี้คือชิ้นโครมเมี่ยมตรงนี้
87.8 -> รุ่นนี้มีไฟตัดหมอกแบบ LED สีขาวมาให้ ชุดโคมไฟหน้าเป็นแบบ Full LED
95.84 -> พร้อมตกแต่งด้วยคิ้วสีฟ้า เพื่อบงบอกถึงความเป็นรถไฮบริด
100.52 -> โดยรุ่นนี้สามารถเปิด-ปิด และปรับสูง-ต่ำ อัตโนมัติ เดย์ไทม์รันนิ่งไลท์จะเป็น 2 เส้น
107.12 -> โดยรวมรุ่นนี้จะมีความสปอร์ตและมัดกล้ามมากกว่า Altis รุ่นก่อนหน้านี้
112.76 -> ด้านข้างจะมีโลโก้ไฮบริดที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ของทาง Toyota
120.36 -> ล้อขนาด 17 นิ้วทูโทนไดมอนด์คัท สวยงามและดูมีมิติ เมื่อเทียบกับ C Segment รุ่นอื่น
129.6 -> ผมมองว่าล้อรุ่นนี้สวยที่สุด มีดิสเบรคทั้ง 4 ล้อ
133.42 -> ขึ้นมาเราจะพบกับชาร์คฟินเล็กๆ ถือเป็นเอกลักษณ์ของทาง Toyota
139.4 -> เวลาขับขี่ด้วยความเร็วสูง ชาร์คฟินจะช่วยรีดอากาศไม่ให้เข้ามาภานในห้องโดยสาร
147.2 -> ฝาครอบกระจกมองข้างมาพร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED แต่รุ่นนี้ไม่มีกล้องมาให้
153.38 -> โดยรุ่นอื่นๆ ใน C Segment จะมีกล้อง 360 องศามาให้
158.58 -> ทาง Honda จะมี Lanewatch ทาง Mazda3 จะมีกล้องมาให้ แต่รุ่นนี้ไม่มี
162.88 -> คิ้วต่างๆมีการตกแต่งด้วยโครเมี่ยม ทำให้โดดเด่นในรถที่มีตัวถังสีทึบ
169.96 -> รุ่นนี้จะไม่มีซันรูฟหรือมูนรูฟ มิติตัวถังเทียบกับ Altis รุ่นก่อนหน้านี้
176.52 -> วีลเบสเท่ากัน ระยะความยาวตัวรถโดยรวมใกล้เคียงกัน แต่จะเตี้ยลงเยอะมาก
183.48 -> จะไปลองนั่งให้ดูว่าภายในห้องโดยสารเป็นอย่างไร
186.18 -> มือจับเปิดประตูเป็นโครเมี่ยมทั้งหมด ดีไซน์ด้านหลังจะมีการปรับเปลี่ยนไปทั้งหมด
197.1 -> สิ่งแรกที่เตะตาคือชุดโคมไฟท้ายที่มีชาร์คฟินเช่นเดียวกัน
201.34 -> ที่ช่วยในเรื่องของ Aerodynamics ซึ่งการขับขี่จริงมันจะทดสอบได้
207.4 -> เมื่อเราขับขี่ด้วยความเร็วสูงเท่านั้น ขับในเมืองจะไม่เห็นผล
210.72 -> ชุดโคมไฟท้ายดีไซน์ใหม่ มีมิติมากยิ่งขึ้น เป็นแบบ Full LED
215.18 -> และตกแต่งด้วยคิ้วโครเมี่ยมปัดด้าน ให้อารมณ์ที่แตกต่างไปอีกแบบนึง
221.04 -> ถัดมาจะพบกับโลโก้เรืองแสงตามสไตล์รถไฮบริด มีโลโก้ Corolla Altis
227.42 -> มีโลโก้ Hybrid รอบคัน กันชนด้านล่างดีไซน์ใหม่ แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า
233.74 -> ที่จะเน้นความโค้งมน รุ่นนี้จะมีเหลี่ยมสันมากขึ้น มีไฟทับทิม
238.88 -> มีเซ็นเซอร์ถอยหลัง รุ่นนี้ท่อออกฝั่งเดียว
247.92 -> เข้ามาภายในห้องโดยสารแผงแดชบอร์ดมีดีไซน์ยื่นออกมาค่อนข้างมาก
253.98 -> ถ้าดีไซน์ตัดลงไปมันอาจจะทำให้ห้องโดยสารโปร่งมากกว่านี้
259.2 -> แต่เข้าใจได้ว่าเน้นความสปอร์ตที่มากยิ่งขึ้น
261.98 -> การตกแต่งต่างๆใช้วัสดุบุนุ่ม ผสมผสานกับชิ้นเปียโน แบล็ค
268.52 -> รวมไปถึงคิ้วโครเมี่ยมแบบด้าน จอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว
274.12 -> แต่จะไม่ค่อยติดมือ มีความหน่วงที่เยอะเลย ไม่ว่าจะเป็นการทัชกสรีนหรือการกดปุ่มต่างๆ
285.4 -> รวมไปถึงรายละเอียดดีไซน์ต่างๆที่ดูโบราณไป แม้จะเป็นจอสีและภาษาไทย
294.9 -> จะมีระบบต่างๆครบครัน ไม่ว่าจะเป็น FM/AM USB AUX
300.84 -> รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth มีระบบนำทางมาให้ด้วย
304.62 -> รุ่นนี้มีระบบ Toyota Telematics สามารถเช็คสถานะรถยนต์ และเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้
313.22 -> มาตรวัดของรุ่นนี้จะแตกต่างจากรุ่น 1.6 และ GR Sport เล็กน้อย
319.18 -> เพราะว่ารุ่นไฮบริดมาตรวัดต่างๆ จะเป็นกึ่งดิจิตอลแล้ว โดยจะมีเข็มแบบอนาล็อคแค่ 3 เข็ม
326.66 -> ด้านซ้ายเป็นสถานะการใช้งานรถ ไม่ว่าจะเป็น Charg Eco หรือ Power Mode
333.26 -> ด้านขวาจะมี 2 เข็ม คือมาตรวัดน้ำมันและอุณหภูมิหม้อน้ำ
337.92 -> จอตรงกลางขนาดใหญ่จะเป็นแบบสีและแบบ Full LED
342.48 -> สามารถปรับทุกอย่างได้ทั้งหมดผ่านหน้าจอ มีรายละเอียดที่เข้าใจง่ายเพราะมีภาษาไทย
350.4 -> สามารถเซ็ตค่าต่างๆผ่านพวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่น
355.54 -> แผงแดชบอร์ดตรงกลางตกแต่งด้วยชิ้นเปียโน แบล็คขนาดใหญ่
359.84 -> รุ่นนี้เป็นระบบปรับอากาศแบบโซนเดียวแม้จะเป็นตัวท็อปสุด
366.58 -> แต่มีดีที่รุ่นนี้มีระบบปรับอากาศแบบ Nanoe ที่สามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้
374.24 -> รุ่นนี้มีดีไซน์ที่แปลกเล็กน้อย ช่องเสียบ USB จะอยู่ตรงนี้ 1 ช่อง
383.32 -> ด้านล่างจะเป็นไวเลสชาร์จเจอร์ สามารถชาร์จได้แต่ช้า เพราะกำลังไฟแค่ 1.0A
392.38 -> ถ้าเป็นรุ่นอื่นที่อัพเกรดแล้วจะจ่ายไฟที่ 2.1A จะชาร์จได้เร็วกว่า
397.76 -> ที่ชาร์จสามารถวางสมาร์ทโฟนขนาดใหญ่ได้
402.88 -> รุ่นไฮบริดจะมีโหมดการขับขี่ EV Mode มีปุ่มเปิด-ปิด Traction Control รวมไปถึง Drive Mode
411.8 -> เราสามารถปรับได้ไม่ว่าจะเป็น Power Mode Eco Mode หรือ Normal
416.56 -> หัวเกียร์กระชับมือ ดีไซน์เหมือนรุ่นอื่นไม่ว่าจะเป็น CH-R
422.72 -> ทั้งฐานเกียร์และหัวเกียร์ยกมาจาก CH-R ทั้งหมด ฟร้อนต่างๆ เป็นการเรืองแสง
428.7 -> เช่น เกียร์ P สีฟ้า เกียร์ R สีส้ม เกียร์ N สีเขียว
434.28 -> วิศวกรบอกว่าเวลาขับขี่เราใช้ความคุ้นเคย เวลาปรับเกียร์เราเห็นแค่สีเราจะรู้ว่าเป็นเกียร์อะไร
442.88 -> มีเบรคมือไฟฟ้าและระบบเบรคโฮล์ด มีประโยชน์ในการขับขี่ในเมือง
449.48 -> พวงมาลัยมัลติฟังชั่นแบบ 3 ก้านทรงสปอร์ต
454.68 -> ด้านซ้ายควบคุมจอมอนิเตอร์ เปิด-ปิดระบบต่างๆ โชว์การแสดงผลต่างๆ
461.12 -> เพิ่ม-ลดเสียง ระบบ Bluetooth วางสายรับสาย
465.32 -> ด้านขวาปุ่มจะเยอะเพราะรุ่นนี้ออฟชั่นจัดเต็ม
470.18 -> ไม่ว่าจะเป็น Adaptive Cruise Control สามารถใช้ได้จนความเร็วเหลือ 0
475.34 -> เวลารถยนต์คันหน้าหยุดรถคันนี้ก็จะหยุดด้วย
478.8 -> รุ่นนี้มี Lane Keep เวลาที่เราขับออกนอกเลนรถยนต์จะร้องเตือน และดึงพวงมาลัยกลับมาให้
491.14 -> และมีระบบล็อคตัวรถยนต์ของเราให้คงที่อยู่ในเลน เพิ่มจากรถ C Segment รุ่นอื่นๆ
498.34 -> ไม่ถึงกับต้องออกนอกเลนแค่เบี่ยงเล็กน้อย รถยนต์จะทรงตัวให้
505.02 -> แต่เวลาผมขับจริงผมปิด เพราะมันขืนอาจจะทำให้เราขับได้ไม่สะดวก
510.52 -> รุ่นนี้สามารถปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ หรือจะปรับเองก็ได้
515.92 -> และมีโหมดเปิดไฟสูงอัตโนมัติ เมื่อรถยนต์จับได้ว่าข้างหน้ามืดรถยนต์จะเปิดไฟสูงออโต้
523.66 -> ด้านขวาแผงประตูเป็นแบบพลาสติกบุนุ่ม แต่จะไม่นุ่มเท่ารุ่นอื่น
529.84 -> ส่วนที่วางแขนจะเป็นหนังแท้ กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า และพับเก็บอัตโนมัติเลวลาล็อครถ
538.28 -> รุ่นท็อปเบาะนั่งคู่หน้าจะเป็นแบบปรับไฟฟ้า
544.82 -> ต่อไปผมจะลองไปนั่งเบาะโดยสารแถว 2 ให้ดูว่าจะนั่งได้สบายขนาดไหน
554.94 -> เข้ามาที่เบาะโดยสารแถวหลัง ที่สังเกตุได้ชัดเจนคือคอผมพับ
559.6 -> แม้วีลเบสจะเท่ากับรุ่นเก่าแต่ ด้วยการดีไซน์เบาะทรงสปอร์ตและภายในต่างๆ
566.02 -> มันทำให้ห้องโดยสารตอนหลังถูกบีบเข้ามาเยอะมาก
568.94 -> แม้ว่าจะเหลือพื้นที่ Leg Room ที่เยอะ แต่ Head Room กลับเหลือไม่มาก
577.16 -> แต่สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ยังมีมาให้ เช่น แอร์ตอนหลัง
581.28 -> และรุ่นนี้เป็นรุ่นแรกของ C Segment ที่มีม่านบังแดดหลังมาให้ แม้จะไม่ใช่ม่านไฟฟ้าก็ตาม
586.84 -> แต่มีมาให้มันก็สามารถช่วงกรองแสงทำให้รถยนต์เย็นเร็วขึ้น
591.34 -> เบาะหลังเป็นกึ่งบักเก็ตซี๊ดเล็กๆ กระชับตัวพอสมควร
596.3 -> แต่อย่าลืมว่ารุ่นนี้เป็นไฮบริดแบตเตอร์รี่จะถูกติดตั้งที่ใต้เบาะซึ่งจะส่งผลให้
602.5 -> เวลาเราขับขี่ด้วยความเร็วสูง ไอร้อนจะถูกส่งขึ้นมายังใต้เบาะที่นั่งอาจทำให้รำคาญได้
607.44 -> ที่เท้าแขนมีที่วางแก้วให้ 2 จุด แต่ไม่มีรายละเอียดอะไรต่างๆ มาให้
612.1 -> เบาะเป็นแบบ 60-40 โดยรวมของห้องโดยสารจะเป็นแบบนี้
616.1 -> ผมจะไปลองขับให้ดูว่าขุมพลังเบนซิล 1.8 ลิตรกับมอเตอร์ไฟฟ้า 600 โวล์ตเป็นอย่างไร
627.5 -> สำหรับการขับขี่ All-New Toyota Corolla Altis Hybrid High
632.64 -> ความที่เป็นแพลตฟอร์ม TNGA ทำให้การขับขี่ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นเดิมอย่างสิ้นเชิง
637.3 -> เพิ่มความสปอร์ต ช่วงล่างหนึบแน่นมากยิ่งขึ้น
640.64 -> สำหรับคนที่ชอบความนุ่มนวนอาจจะไม่เหมาะกับรุ่นนี้
644.82 -> พวงมาลัยมีน้ำหนักที่พอดีมือ แต่ถ้าเทียบกับรถ C Segment ในตลาด
650.68 -> จะมีตัว Mazda3 ที่หนึบแน่นกว่า ทางด้านขุมพลังจะเป็นรุ่นเดียวใน C Segment ที่เป็นไฮบริด
657.96 -> มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 98 แรงม้า
660.66 -> ขุมพลังมอเตอร์อีก 600 โวล์ตให้กำลังอีก 72 แรงม้า
664 -> ซึ่งคอมบายรวมกันจะได้ 122 แรงม้า แรงบิดอยู่ที่ 163 นิวตันเมตร
669.9 -> เกียร์อัตโนมัติแบบ E CVT จากการทดสอบในรุ่นนี้ที่เป็นเครื่องยนต์ไฮบริด
674.7 -> ผมแอบควาดหวังว่าขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าจะมีแรงบิดสูง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่
680.58 -> เข้าใจได้เลยว่าถูกเซตมาเพื่อความประหยัดที่มากกว่า 0-100 จะอยูที่ประมาณ 11-12 วินาที
687.48 -> ซึ่งไม่ได้จี๊ดจ๊าดอย่างที่คิดไว้ อีกส่วนนึงที่จะไม่มพูดไม่ได้เลยคือ
692.62 -> กระจกหน้าแบบ Acoustic Glass เหมือน Toyota Camry
695.86 -> แต่รุ่นนี้ขับแค่ประมาณ 60 กม./ชม.ขึ้นไป เสียงจะเริ่มเข้ามาที่ห้องโดยสารแล้ว
703.86 -> เข้าใจได้ว่าเพราะมีการติดตั้งแบตเตอรี่ที่เบาะแถว 2 ทำให้ตัวรถอาจจะมีช่อง
708.88 -> หรือมีการเจาะรู้ที่อาจจะมีการซีลที่ไม่ได้ดีมากนัก อาจจะต้องรอรุ่นไมเนอร์เช้นจ์
715.56 -> แป้นคันเร่ง แป้นเบรคจะแตกต่างจากรุ่น GR Sport เล็กน้อย
720.9 -> ด้วยการที่เป็นรุ่นไฮบริดจะมีการติดตั้งระบบเจเนอเรตไฟกลับเวลาเราเบรค
725.7 -> เวลาเราเหยียบเบรคจะรู้สึกว่าปลอมนิดนึงจะไม่เหมือนเราขับขี่รถปกติทั่วไป
730.76 -> แต่เมื่อเราขับไประยะนึงจะเข้าใจได้
738.48 -> สรุปโดยรวมด้วยความที่เป็น All-New Toyota Corolla Altis
741.9 -> มีความสปอร์ตเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่สุด สามารถเทียบชั้นกับคู่แข่งได้ใกล้เคียงยิ่งขึ้น
749.76 -> แม้จะเป็นขุมพลังไฮบริด แต่จากที่ทดลองขับก็ไม่ได้จี๊ดจ๊าดอย่างที่คิด
757.44 -> ทางวิศวกรได้บอกช่วงที่เปิดตัวว่ารุ่นนี้ทำตลาดในกลุ่มผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป
764.58 -> และกลุ่มผู้ชายที่มีความเป็นครอบครัวมากกว่าความสปอร์ตอย่าง
767.5 -> Honda Civic หรือว่า Mazda3 พอเข้าใจได้ว่าถูกเซตมาให้อยู่กลางๆไว้
773.78 -> ห้องโดยสารค่อนข้างจะผิดหวัง เพราะคาดหวังไว้เยอะว่าจะนั่งได้สบายกว่านี้
778.26 -> ด้วยความที่เป็น Altis แต่รุ่นนี้นั่งไม่สบายเท่ารุ่นก่อนหน้า
784 -> จากการดีไซน์ที่สปอร์ต TNGA ต่างๆมันทำให้บีบสรีระ และนั่งไม่สบาย
789.78 -> ถ้าโดยสารทางไกลมีอาการเื่อยแน่นอน
793.56 -> แต่ในเรื่องออฟชั่นจัดเต็ม ให้เยอะกว่ารุ่นอื่นๆ
797.62 -> ไม่ว่าจะเป็น Adaptive Cruise Control with low speed
800.86 -> ม่านบังแดดหลัง Lane Keep Blind Spot มีมาให้ทั้งหมด
805.36 -> ราคาเริ่มต้นที่ 9 แสนกว่าบาท และตัวท็อปสุดของไฮบริดราคา 1,099,000 บาทเท่านั้น
811.86 -> ลองคิดดูว่าเครื่องยนต์ไฮบริดในรุ่น C Segment ราคาไม่ถึง 1.1 ล้านบาท
817.02 -> จะมีแค่ All-New Toyota Corolla Altis เท่านั้น

ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=4rCW0rmrWA0