![วิชา การถ่ายภาพเบื้องต้น [kmitl001] บทที่ 1 [1/3]](https://img.howtoclicks.com/vi_webp/5d32CJCEF7g/sddefault.webp)
วิชา การถ่ายภาพเบื้องต้น [kmitl001] บทที่ 1 [1/3]
วิชา การถ่ายภาพเบื้องต้น [kmitl001] บทที่ 1 [1/3]
null
Content
7.47 -> หัวข้อแรกที่เราจะพูดถึงกันคือ
9.455 -> จุดกำเนิดและพัฒนาของการถ่ายภาพ
12.715 -> โดยในส่วนของการถ่ายภาพ
14.607 -> ถ้าเราจะพูดถึงวิวัฒนาการเกิดขึ้นมา
16.546 -> จากศาสตร์สาขาใด
17.926 -> เราจะแบ่งออกเป็น 2 ศาสตร์
19.881 -> คือศาสตร์ทางด้านฟิสิกส์
21.86 -> เกี่ยวข้องกับเรื่องของกล้องถ่ายภาพ
23.632 -> และศาสตร์ทางด้านเคมีซึ่งเกี่ยวข้องกับ
25.668 -> การทำปฏิกิริยาของพวกสารไวแสง
28.657 -> กับวัสดุไวแสงเพื่อให้ปรากฏภาพออกมา
31.758 -> เรามาเริ่มกันที่ศาสตร์ทางด้านฟิสิกส์ก่อน
34.527 -> ซึ่งศาสตร์ทางด้านฟิสิกส์เกิดขึ้น
37.01 -> ประมาณ 400ปี ก่อนคริสตศักราช
39.233 -> โดยนักปราชญ์คนหนึ่งนาม อาริสโตเติล
43.028 -> ได้เขียนบันทึกไว้
44.464 -> ซึ่งบันทึกนั้นมีข้อความว่า
46.309 -> ถ้าเราปล่อยให้แสงผ่านเข้าไป
47.999 -> ทางช่องเล็กๆในห้องมืด
49.748 -> แล้วถือกระดาษขาวให้ห่าง จากช่องรับแสง
52.486 -> ประมาณ 15 ซม.จะปรากฏภาพในกระดาษ
55.696 -> ที่มีลักษณะเป็นภาพจริงหัวกลับ
57.768 -> แต่เป็นภาพที่ไม่ชัดเจนนัก นั้นลองลักษณะของ
60.789 -> คำกล่าวของอาริสโตเติล ก็เกิดจากการค้นพบ
64.942 -> ถ้าเราจะนึกภาพลักษณะ
66.555 -> ในสมัยนั้นจะมีห้องสักห้องหนึ่ง
68.304 -> ที่เป็นห้องขนาดใหญ่
69.646 -> เป็นห้องที่มีผนังมืดสนิท
71.837 -> ทั้ง 4 ด้าน แต่ถ้าเกิดมีรู
74.184 -> อยู่ตรงที่ผนังแล้วก็มีแสงลอดเข้ามาได้
76.795 -> ถ้าเราเอาตัวกระดาษสีขาว
78.215 -> ไปวางอยู่ก็จะทำให้เห็นภาพ
81.016 -> ที่อยู่ภายนอกปรากฏอยู่บนพื้น
82.612 -> ของกระดาษสีขาว ซึ่งหลักการ
84.678 -> ของอาริสโตเติลตรงนี้
86.06 -> ก็นำมาซึ่งการพัฒนาห้องตัวเมื้อกี้ได้กล่าวไปเป็นห้องที่เรียกว่าเป็น
90.482 -> กล้องออบสคิวรา ซึ่งจริงๆแล้วก็คือ
93.038 -> ก็แปลว่าห้องมืดนั่นเอง ซึ่งห้องตัวนี้
95.668 -> ในช่วงแรกๆการใช้งานก็จะเป็นลักษณะ
97.629 -> ก็จะคล้ายๆกับเอาไว้ส่องภาพ
99.862 -> ที่ปรากฏอยู่ภายนอก
101.122 -> เช่น จิตรกรอาจจะเอากระดาษ
103.366 -> เอาภาพไปวางลองไว้แล้วก็ร่างหรือวาดภาพ
107.301 -> คล้ายๆกับภาพทิวทัศน์ที่เราเห็นในปัจจุบัน
109.732 -> โดยใช้ประโยชน์จากแสงที่ลอดผ่านช่องเข้ามา
112.642 -> เป็นตัวแบบแล้วก็ร่างตามตัวแบบไป
116.558 -> แล้วหลังจากนั้นตัวกล้องออบสคิวรา
118.347 -> ต้องมีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ
120.617 -> ทำให้มันเล็กลง มีการปรับเอาตัวช่องรับภาพ
125.196 -> ให้มีการปรับของมุมสะท้อนจากกระจก
128.402 -> ให้ส่องเข้ามาแล้วก็แทนที่ปรากฏภาพ
131.226 -> บนกระดาษหรือผ้าสีขาวๆที่วางขึงตึง
134.554 -> ก็จะให้ลงไปอยู่บนโต๊ะแทน สามารถที่
136.955 -> จะมองคนที่เข้าไปอยู่ในห้อง
139.065 -> ก็มองไปที่พื้นบริเวณโต๊ะ
140.786 -> แล้วก็เห็นภาพที่ปรากฏอยู่ด้านนอก
143.689 -> มีการเอาไปใช้วางไว้ในจุดต่างๆ
145.744 -> เช่น จุดที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ
148.751 -> ให้คนที่นักท่องเที่ยวเดินเข้ามาแล้วก็ดู
151.73 -> หรือชมภาพที่ปรากฏอยู่
153.458 -> อันนี้ก็เป็นพัฒนาการในช่วงแรก
155.872 -> จากห้องที่เป็นห้องใหญ่ๆ
158.002 -> ก็มีการย่อขนาดลงมาจนเป็น
159.459 -> ห้องที่มีขนาดเล็กลง
161.257 -> โดยใช้ชื่อว่ากล้องออบสคิวรา
163.307 -> ซึ่งแปลว่าห้องมืดนั่นเอง
165.165 -> ถ้าเกิดเราพูดถึงว่าถ้าเป็นตัวอย่าง
167.335 -> ในประเทศไทยมีไหม เรื่องของ
169.105 -> กล้องออบสคิวราประเภทนี้
170.789 -> มีอยู่ เราอาจจะเคยเห็นอยู่
172.919 -> สำหรับนักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางไปภาคเหนือ
175.831 -> ยกตัวอย่างเช่นที่ภาคเหนือก็คือจังหวัดลำปาง
178.167 -> ถ้าเราไปที่วัดพระธาตุลำปางหลวง
181.512 -> ซึ่งตรงนั้นจะมีตัวพระธาตุอยู่
184.205 -> ซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีฉลู ที่มีขนาดใหญ่โต
188.702 -> สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้าไป
190.702 -> นอกจากเราจะไปดูตัวพระธาตุของจริง
192.932 -> เรายังอาจจะเข้าไปในส่วนที่เป็น
195.035 -> กล้องออบสคิวราก็ได้
197.101 -> จริงๆแล้วคือตัวของพระวิหาร
199.191 -> กับตัวของซุ้มพระบาท ในสองที่นี้
201.792 -> จะมีช่องอยู่และจะมีแสงสว่างลอดเข้ามา
205.755 -> และจะมีการนำผ้าขาวมาขึงไว้ หรือไปวางบนโต๊ะ
208.584 -> ให้ภาพของตัวพระธาตุ
211.116 -> มาปรากฏบนพื้นผ้าขาวตรงนั้น
213.342 -> ก็จะสร้างความตื่นตาตื่นใจ
214.674 -> ให้กับนักท่องเที่ยวพอสมควร
216.771 -> กล้องถ่ายภาพเริ่มมีวิวัฒนาการ
218.698 -> ที่ชัดเจนขึ้นในช่วงปีคริสต์ศักราช 1676
223.145 -> โดยมีการพัฒนาตัวกล้องรีเฟลกซ์ขึ้นมา
225.935 -> ตอนนี้ก็จะเป็นกล้องแล้ว
226.982 -> ไม่ใช่ลักษณะเป็นห้องแล้ว
228.691 -> เป็นกล้องก็คือเป็นกล่องสี่เหลี่ยม
230.655 -> มีการเอาเลนส์ใส่เข้าไป
231.944 -> มีการเอากระจก สะท้อนใส่เข้าไป
233.969 -> เพื่อให้คนมองเห็นภาพ
235.362 -> จากภายในกล้องหรือในกล่องนี้ได้
238.311 -> ซึ่งตรงนั้นจะยังไม่มีการบันทึกภาพออกมา
240.742 -> เป็นแค่ลักษณะของการที่เรามอง
242.787 -> เข้าไปที่ตัวกล้องแล้วเห็นภาพแค่นั้นเอง
245.222 -> แต่ว่าตัวศาสตร์ทางด้านฟิสิกส์
247.877 -> ที่เราพูดถึงมาทั้งหมด
249.335 -> ก็เป็นพัฒนาการที่ต่อเนื่องกันมา
251.157 -> ศาสตร์ทางด้านเคมีเพิ่งจะปรากฏออกมา
253.52 -> ในช่วงหลังจากที่มีการประดิษฐ์กล้องรีเฟลกซ์
256.419 -> มาแล้วด้วยเหตุผลว่าทุกคนคงอยาก
258.522 -> ที่จะต้องการที่จะบันทึกภาพที่เรามองเห็น
261.382 -> อาจจะเก็บไว้เป็นความทรงจำ
262.796 -> หรือเป็นที่ระลึกก็แล้วแต่
264.138 -> ก็เลยมีการคิดค้นขึ้นมาว่า
266.035 -> เราจะทำยังไงถึงจะให้ ภาพพวกนี้ปรากฏขึ้นมา
268.918 -> ซึ่งก็มีนักวิทยาศาสตร์หลายคน
271.626 -> ช่วยกันคิดค้นจนค้นพบลักษณะ
274.228 -> ที่เป็นการให้สารไวแสงผสมผสานกัน
278.559 -> แล้วก็สามารถที่จะเกิดสีออกมาได้
280.472 -> หลังจากที่กระทบกับตัวแสงแล้ว
282.663 -> อันนี้ก็จะอยู่ในช่วงประมาณปี
284.247 -> คริสต์ศักราช 1727 - 1777
289.279 -> ก็เป็นช่วงที่มีการคิดค้น
290.556 -> เรื่องของสารไวแสงขึ้นมา
293.218 -> หลังจากนั้นในช่วงคริสต์ศักราช 1825 - 1840
299.078 -> เป็นช่วงที่ถือว่าการถ่ายภาพค่อนข้างได้รับ
302.755 -> ความนิยมมากขึ้นและเริ่มเป็นที่รู้จัก
304.999 -> กับองค์การของสาธารณะที่คนทั่วไปเข้ามารู้จัก
309.037 -> ซึ่งในช่วงนี้จะมีบุคคลที่สำคัญของการถ่ายภาพ
312.365 -> อยู่ 3 ท่าน ท่านแรกถือว่าเป็นผู้ที่คิดค้น
316.346 -> เรื่องของการถ่ายภาพที่ทำให้เกิด
318.057 -> ภาพถาวรขึ้นมาได้
319.645 -> เพราะภาพถาวรก็คือพอเราถ่ายรูป
322.937 -> ถ่ายภาพลงมาบันทึกลงไปในวัสดุไวแสง
325.6 -> แล้วนำวัสดุไวแสงนั้นไปล้าง
327.589 -> แล้วก็จะมีภาพติดคงทนถาวรอยู่บนวัสดุไวแสง
331.919 -> ไม่ถูกลบเลือนหายไป
333.708 -> ท่านนี้ชื่อว่าเนียพซ์ เป็นชาวฝรั่งเศส
337.353 -> มีการคิดค้นในเรื่องของทำยังไง
339.358 -> ถึงจะทำให้ภาพติดคงทนถาวรมา
341.542 -> จนเนียพซ์สามารถที่จะทำการทดลอง
344.161 -> ประสบความสำเร็จก็คือถ่ายภาพบริเวณหน้าต่าง
347.956 -> ของตัวห้องทดลองของเขาเอง
349.836 -> แล้วก็เป็นภาพวิวทิวทัศน์ที่อยู่ภายนอก
351.587 -> หน้าต่าง โดยภาพนี้ใช้เวลาในการบันทึกภาพหรือ
355.283 -> เปิดให้แสงลอด เข้ามาในกล้องประมาณ 8 ชั่วโมง
359.564 -> หลังจากนั้นนำตัววัสดุไวแสง
361.7 -> ที่มีภาพนั้นไปล้างแล้วก็จะออกมา
364.188 -> เป็นภาพติดอยู่ถาวรอยู่
366.814 -> ซึ่งจริงๆแล้ว เมื่อก่อนเราจะมอง
368.568 -> ว่าภาพที่เนียพซ์ถ่ายข้างหน้าต่างนี้
370.797 -> เป็นภาพแรกของโลก
372.37 -> แต่จริงๆแล้วมันจะมีภาพก่อนหน้านั้น
373.999 -> ประมาณหนึ่งปี ที่มีการค้นพบ
375.556 -> ในภายหลังว่าเนียพซ์ เขาค้นพบขึ้นมาก่อน
378.56 -> แล้วก็บันทึกภาพได้ถาวรสำเร็จ
380.311 -> ก่อนเป็นภาพข้างหน้าต่างอย่างที่บอกไป
383.154 -> ซึ่งภาพแรกเป็นภาพของคล้ายๆกับ
385.838 -> เป็นตัวภาพวาดที่ติดฝาผนังของห้องทำงานของเนียพซ์
390.128 -> แล้วก็เนียพซ์ใช้วิธีการเอากล้องไปจ่อกับภาพวาดฝาผนังนั้นแล้วถ่ายออกมา
394.256 -> ก็เป็นภาพนิ่งที่ติดคงทนถาวรเช่นเดียวกัน
397.719 -> แต่ว่าเนื่องจากมันเป็นภาพที่
399.634 -> เรียกว่าเป็นภาพคล้ายๆกับ
401.006 -> เป็นการ copy ภาพวาด
402.731 -> บางทีเราก็เลยนับว่า
403.616 -> ถ้าจะเป็นการถ่ายภาพที่แท้จริงแล้ว
405.388 -> น่าจะเป็นภาพวิวข้างหน้าต่างที่เนียพซ์
408.374 -> ถ่ายหลังจากนั้น 1 ปี ที่เป็นภาพแรก
410.695 -> ที่เป็นภาพของจริงของโลกมากกว่า
413.41 -> บุคคลสำคัญคนที่ 2 ก็คือดาแกร์
416.996 -> ดาแกร์เป็นชาวฝรั่งเศส เช่นเดียวกัน
419.985 -> ซึ่งจริงๆแล้ว ดาแกร์กับเนียพซ์ไม่ได้ทำงาน
422.277 -> ด้วยกันในช่วงแรก ก็ต่างคนต่างคิดค้น
424.817 -> วิธีการที่จะทำให้ภาพมันออกมา
426.627 -> คงทนถาวรได้ การบันทึกภาพ
430.095 -> พอมีการทำงานแยกกันระยะหนึ่ง
433.08 -> ก็มีการมาร่วมมือกัน
435.514 -> ร่วมมือที่จะคิดค้นโดยใช้ข้อค้นพบ
438.429 -> ของแต่ละคนมาผสมผสานกัน
439.882 -> เพื่อให้งานมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
442.699 -> แต่ปรากฏว่าพอร่วมมือไปได้สักพัก
444.847 -> ก็ปรากฏว่าเนียพซ์เสียชีวิต
446.594 -> ดาแกร์ก็เลยต้องคิดค้นแล้วก็ทดลอง
448.294 -> ด้วยตัวคนเดียวต่อไป แต่ว่าตัวดาแกร์
451.916 -> ทำการคิดค้นว่าทำยังไงถึงจะให้ภาพ
454.64 -> ที่เราถ่ายมา แทนที่จะต้องใช้ถึง 8 ชั่วโมง
457.822 -> ในการบันทึกภาพเหมือนของเนียพซ์
459.847 -> ดาแกร์ก็พยายามทำให้เวลามันสั้นลง
462.705 -> และก็ทำให้ภาพที่มันบันทึกอยู่
464.541 -> ในวัสดุไวแสง มันมีความคมชัดมากขึ้น
467.414 -> จนสุดท้ายแล้ว ดาแกร์ก็ใช้ระยะเวลาที่ล่นลงมา
470.748 -> จนเหลือประมาณสัก 30 นาที
472.726 -> แล้วก็บันทึกลงในวัสดุไวแสง
474.755 -> นำไปล้างและมีภาพที่คมชัดขึ้น
ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=5d32CJCEF7g