รีวิว iPhone 14 Pro Max หลังใช้ 4 เดือน สรุปความประทับใจ และสิ่งที่ยังไม่ลงตัว หรือควรรอ iPhone 15 ?

รีวิว iPhone 14 Pro Max หลังใช้ 4 เดือน สรุปความประทับใจ และสิ่งที่ยังไม่ลงตัว หรือควรรอ iPhone 15 ?


รีวิว iPhone 14 Pro Max หลังใช้ 4 เดือน สรุปความประทับใจ และสิ่งที่ยังไม่ลงตัว หรือควรรอ iPhone 15 ?

สวัสดีครับ สำหรับ iPhone 14 Pro Max เครื่องนี้ ผมเองก็มีโอกาสได้ใช้งานมาร่วม 4 เดือนเต็ม ๆ เรียกว่าใช้ชีวิตอยู่กับไอโฟนรุ่นใหญ่ใหม่ล่าสุดเครื่องนี้มาพอสมควร ดังนั้นก็แน่นอนว่าจะได้เจอกับสิ่งใหม่ ๆ ที่น่าประทับใจมากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าได้เจอกับสิ่งที่ยังไม่ลงตัวอยู่หลายอย่าง โดยในวันนี้ผมจะนำประสบการณ์มาแชร์ให้ทุกท่านได้ทราบกัน พร้อมเปรียบเทียบกับ iPhone 13 Pro Max รุ่นพี่ ซึ่งก็น่าจะเป็นประโยชน์กับท่านที่กำลังตัดสินใจซื้ออยู่ไม่น้อยว่าควรเลือก iPhone 14 ในตอนนี้ หรือจะรอ iPhone 15 ดี ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ไปติตดามกันได้เลยครับ

-----------------------------------------------------

สารบัญเนื้อหา

00:00 - บทนำ
00:39 - ดีไซน์ภายนอก
03:10 - จอแสดงผล
04:51 - Dynamic Island
07:46 - Always On Display
09:46 - กล้องถ่ายภาพ และวิดีโอ
15:51 - ประสิทธิภาพ
16:46 - iOS 16
18:00 - ลำโพงเสียง
18:46 - แบตเตอรี่
20:00 - การเชื่อมต่อ
21:48 - Emergency SOS via Satellite
22:32 - Crash Detection
24:24 - Dual eSIM
25:31 - Face ID
26:13 - ราคาจำหน่ายในประเทศไทย
27:09 - สรุป

-----------------------------------------------------

รีวิว Dynamic Island แดนมหัศจรรย์ของ “ชาวเกาะ” บน iPhone 14 Pro | Pro Max
   • รีวิว Dynamic Isl…  


Content

0.291 -> สวัสดีครับ สำหรับ iPhone 14 Pro Max เครื่องนี้ ผมเองก็มีโอกาสได้ใช้งานมาร่วม 4 เดือนเต็ม ๆ เรียกว่าใช้ชีวิตอยู่กับไอโฟนรุ่นใหญ่ใหม่ล่าสุดเครื่องนี้มาพอสมควร
11.164 -> ดังนั้นก็แน่นอนว่าจะได้เจอกับสิ่งใหม่ ๆ ที่น่าประทับใจมากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าได้เจอกับสิ่งที่ยังไม่ลงตัวอยู่หลายอย่าง
20.015 -> โดยในวันนี้ผมจะนำประสบการณ์มาแชร์ให้ทุกท่านได้ทราบกัน พร้อมเปรียบเทียบกับ iPhone 13 Pro Max รุ่นพี่
27.561 -> ซึ่งก็น่าจะเป็นประโยชน์กับท่านที่กำลังตัดสินใจซื้ออยู่ไม่น้อยว่าควรเลือก iPhone 14 ในตอนนี้ หรือจะรอ iPhone 15 ดี ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ไปติดตามกันได้เลยครับ
39.866 -> เรื่องแรกที่อยากพูดถึงก็คือ หากเราหวังว่าพอเรายก iPhone 14 Pro Max ขึ้นมาใช้ แล้วคนที่เดินผ่านมาจะรู้ว่านี่คือไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจนต้องมองเหลียวหลังก็คงต้องบอกว่าเป็นไปได้ยากครับ
51.768 -> เพราะแทบจะถอดแบบมาจาก iPhone 13 Pro Max และหากว่ากันด้วยเรื่องรูปโฉมภายนอก ที่ดูเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนที่สุดก็น่าจะเป็นกล่องเสียมากกว่า
60.904 -> นั่นคือกล่องของ iPhone 14 Pro Max รวมทั้ง iPhone 14 รุ่นอื่น ๆ จะเปลี่ยนมาเป็นสีขาว จากเดิมที่มีสีดำ ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง
70.312 -> รวมทั้งรูปตัวเครื่องหน้ากล่องก็เปลี่ยนมาโชว์หน้าจอใหม่ที่มี Dynamic Island แทน
75.334 -> ส่วนความหนาของกล่องยังคงเท่าเดิม นั่นคือเป็นกล่องที่ค่อนข้างผอมเพรียว เพราะด้านในแทบจะไม่มีอะไรแถมมาให้นอกจากตัวเครื่อง, สาย USB-C to Lightning, เข็ม SIM Door Key และเอกสารพื้นฐาน
88.351 -> ซึ่งจุดที่ชัดเจนที่สุดบนตัวเครื่องที่จะช่วยบ่งบอกว่านี่คือ iPhone 14 Pro Max ก็เห็นจะเป็น Notch หรือรอยบากที่เปลี่ยนมาเป็น Dynamic Island หรือการเจาะรูบนหน้าจอ รวมทั้งมอดูลกล้องหลังที่ใหญ่ขึ้นพอสมควร
101.455 -> และสีใหม่อย่างสีม่วง Deep Purple ซึ่งเป็นสีม่วงที่ดูภูมิฐาน ไม่ได้ออกแนวหวานเหมือนม่วงทั่ว ๆ ไป กับสีดำ Space Black ที่ดูดำเข้มกว่าสีกราไฟต์เดิมชัดเจนทั้งด้านหลัง และกรอบด้านข้าง
113.735 -> แต่ความจริงก็คือแทบทุกคนล้วนใส่เคสทับไว้ ดังนั้นหากไม่ใช่เคสแบบใส การสังเกตที่สีตัวเครื่องก็คงเป็นไปไม่ได้
122.034 -> นอกจากนั้นก็เป็นแค่จุดเล็ก ๆ ที่สังเกตได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นปุ่ม Power ที่ขยับลงมาเล็กน้อย, ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง กับปุ่มเปิด-ปิดเสียง ที่ขยับขึ้นไปเล็กน้อย, ช่องใส่ซิมการ์ดที่ขยับลงมา
133.33 -> ตัวเครื่องที่สูงน้อยลง 0.1 มิลลิเมตร, กว้างน้อยลง 0.5 มิลลิเมตร และหนาขึ้น 0.21 มิลลิเมตร ส่วนน้ำหนักยังคงเท่าเดิมที่ 240 กรัม นั่นคือถือใช้งานนาน ๆ แล้วเมื่อยมือไม่ต่างกัน
146.858 -> ซึ่งด้วยขนาดของมอดูลกล้องที่ใหญ่ขึ้น กับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต่างจากเดิมดังที่ได้พูดถึงไปข้างต้น จึงทำให้เราไม่สามารถนำเคสของ iPhone 13 Pro Max มาใส่กับ iPhone 14 Pro Max ได้
159.454 -> ด้านวัสดุ หรือความทนทาน ก็ไม่ต่างจากเดิมเช่นกัน แต่ก็ถือว่าดีเยี่ยมมากอยู่แล้ว ด้วยกระจก Ceramic Shield ที่ด้านหน้า
166.772 -> ด้านหลังที่ครอบทับด้วยกระจกผิวด้านที่ให้สัมผัสเนียนลื่นพร้อมป้องกันรอยนิ้วมือ, การปกป้องหน้าเลนส์กล้องด้วยกระจก Sapphire Crystal
174.866 -> กรอบด้านข้างที่ผลิตจากสแตนเลสเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม
179.525 -> และมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP68 หรือตามที่ข้อมูลระบุไว้ก็คือสามารถทนน้ำได้ลึกสูงสุด 6 เมตร เป็นเวลาต่อเนื่องสูงสุด 30 นาที
190.267 -> จอแสดงผลของ iPhone 14 Pro Max นับว่าเป็นจุดแรก ๆ ที่ผมรู้สึกประทับใจครับ เรียกว่าเป็นหนึ่งในจอบนสมาร์ตโฟนที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน
199.584 -> แม้จะใช้จอแบบ Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว ที่มีค่า Contrast Ratio ที่ 2,000,000:1 เช่นเดิม แต่ก็มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นในหลาย ๆ ส่วน
209.502 -> ตั้งแต่ความสว่างสูงสุดที่มากถึง 2000 nits จากเดิมที่ 1200 nits ดังนั้นจึงมองเห็นในที่กลางแจ้งได้ดีกว่าเดิมมาก แม้จะต้องใช้งานขณะใส่แว่นกันแดดอยู่ด้วยก็ตาม
220.876 -> แสดงสีสันได้สวยงาม, ขอบหน้าจอที่บางลงเล็กน้อย ซึ่งส่งผลให้มีพื้นที่แสดงผลที่เพิ่มขึ้น แต่ก็อาจจะสังเกตได้ยาก
229.669 -> ความละเอียดคมชัดที่มากขึ้นเล็กน้อยเป็น 2796x1290 พิกเซล หรือความหนาแน่นที่ 460 พิกเซลต่อนิ้ว
238.668 -> มีความลื่นไหลสูงสุดระดับ 120Hz ด้วยเทคโนโลยี ProMotion ที่รองรับอัตราการรีเฟรชได้ต่ำสุดที่ 1Hz จากเดิมที่ 10Hz ซึ่งส่งผลให้มีฟีเจอร์ Always-On Display เพิ่มเข้ามาด้วย
251.835 -> มีเซนเซอร์ตรวจจับแสงใหม่แบบคู่ที่เรียกว่า Dual Ambient Light ซึ่งสามารถตอบสนองต่อสภาพแสงได้ดีกว่าเดิม
258.454 -> เช่นในขณะที่ผมนั่งอยู่ในรถฟิล์มมืด ๆ แล้วเปิดประตูถือทั้ง iPhone 14 Pro Max กับ iPhone 13 Pro Max ออกมานอกรถ ก็จะเห็นว่าจอของ iPhone 14 Pro Max นั้นสว่างขึ้นเร็วกว่า
270.662 -> และสุดท้ายที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือมี Dynamic Island มาให้ใช้งานเป็นครั้งแรกครับ
276.951 -> ส่วนข้อดีอีกอย่างก็คือ ฟิล์มกันรอย หรือกระจกกันรอยรุ่นของปีที่แล้วที่ผมเคยซื้อไว้สำหรับ iPhone 13 Pro Max นั้นสามารถนำมาใช้กับ iPhone 14 Pro Max ได้ด้วยครับ (*เฉพาะรุ่นเต็มจอที่เว้นเฉพาะส่วนของลำโพงเท่านั้น*)
287.781 -> ซึ่งก็ช่วยให้ประหยัดงบในส่วนนี้ไปได้พอสมควร
291.117 -> สำหรับ Dynamic Island ก่อนหน้านี้ผมก็ได้รีวิวแบบละเอียดให้ชมกันไปแล้ว ซึ่งเดี่ยวผมจะแนบลิงก์ไว้ให้นะครับ
298.241 -> แต่หากจะให้พูดถึงประสบการณ์รวม ๆ หลังจากที่ได้ใช้งานมาร่วม 4 เดือน ก็ต้องยอมรับว่าช่วงหลัง ๆ มานี้ผมแทบไม่ได้ใช้งาน Dynamic Island เลยก็ว่าได้ครับ
307.887 -> จริงอยู่ว่าในแง่ของกราฟิก หรือแอนิเมชันนั้นดูดีมีความสวยงามกลมกลืนลื่นไหล ตอบสนองต่อการสัมผัสได้ พลิกโฉมระบบการแจ้งเตือนใหม่ หรือการแสดงสถานะต่าง ๆ ให้กลายเป็นหนึ่งเดียว
320.794 -> เหมือนมีจอแสดงผลที่สองที่ย่อขยายได้เพิ่มเข้ามา นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากรอยบากเดิม ๆ และเป็นการทำให้รูบนหน้าจอซึ่งไม่สามารถเอาออกไปได้ ให้กลายเป็นจุดขายแทน
332.769 -> แม้การเจาะรูบนหน้าจอจะมีมานานแล้วบนสมาร์ตโฟนแบรนด์อื่น ๆ แต่การเจาะรูบน iPhone 14 Pro Max นั้นแตกต่างออกไป
341.173 -> ทั้งตำแหน่งที่อยู่ตรงกลาง และฟีเจอร์ที่พัฒนามาเพื่อรองรับโดยเฉพาะ และอาจกลายเป็นแนวทางใหม่สำหรับสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าน่าประทับใจครับ
352.915 -> แต่หากพูดถึงฟังก์ชันอื่น ๆ ที่เราต้องไปสัมผัสเพื่อใช้งานอย่างจริงจังมากขึ้น เช่นการทำงานแบบ Multitasking, การแยกเป็น 2 รู 2 แอปพลิเคชัน หรือการควบคุมการทำงานผ่านวิดเจ็ต
364.755 -> ก็รู้สึกว่าต้องอาศัยความพยายาม หรือความตั้งใจมากไปสักนิด เพราะ Dynamic Island นั้นอยู่ที่ด้านบนสุดของหน้าจอ
372.111 -> ดังนั้นการเอื้อมนิ้วไปแตะให้ถึง Dynamic Island จึงไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะในขณะที่ถือเครื่องด้วยมือข้างเดียวนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้
380.117 -> แม้กรณีนี้เราจะใช้ฟังก์ชัน Reachability ช่วยได้ แต่ก็ไม่ได้สะดวกอย่างที่คิด
386.096 -> ในขณะที่การเปิดเข้าใช้งานในแอปพลิเคชันหลัก หรือการใช้งาน Multitasking ในรูปแบบเดิมกลับจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า
393.608 -> ตัวอย่างที่ใช้งานบ่อยก็คือระบบนำทาง ที่แสดงบน Dynamic Island เป็นไอคอนเล็ก ๆ หรือวิดเจ็ตที่คอยแจ้งเตือนว่าให้เราเลี้ยวที่แยกไหนเมื่อไหร่ ซึ่งดูเป็นไอเดียที่ดี
404.497 -> แต่พอใช้งานตอนขับรถจริง ๆ แล้วผมก็ยังชอบที่จะเห็นแผนที่ และรายละเอียดภาพรวมที่ชัดเจนทั้งหมดบนหน้าหลักของแอปพลิเคชันมากกว่า
413.317 -> และตอนขับรถเราก็ควรมีสมาธิ ไม่ควรที่จะสลับไปใช้งานแอปพลิเคชันอื่นอยู่แล้ว
419.835 -> ซึ่งการเข้าถึง Dynamic Island ดูจะสวนทางกับการออกแบบของ iOS ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ที่หลาย ๆ อย่างถูกย้ายเอามาไว้ที่ด้านล่าง
428.822 -> เช่นช่องค้นหาใน Safari หรือการแจ้งเตือนในหน้า Lock Screen เพื่อให้เราเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
435.111 -> นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์จาก Dynamic Island เท่าที่ควร และมักจะรู้สึกถึงการมีอยู่ของ Dynamic Island ก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่มีการแจ้งเตือน หรือมีการแจ้งสถานะที่สวยงามแปลกใหม่เท่านั้น
448.891 -> รวมทั้งเอาไว้เป็นจุดสังเกตว่าไอโฟนรุ่นนี้คือไอโฟนรุ่นใหม่
453.511 -> และแน่นอนว่ายิ่งรู้สึกสะดุดตาเป็นพิเศษในขณะที่กำลังเปิดดูคอนเทนต์แบบเต็มหน้าจอ ซึ่งโดยส่วนตัวก็รู้สึกว่าในกรณีนี้รอยบากแบบเดิม ๆ นั้นดูจะกลมกลืนมากกว่าครับ
465.801 -> นอกจาก Dynamic Island แล้ว สิ่งใหม่ที่ดูน่าสนใจบน iPhone 14 Pro Max ก็คือ Always On Display ซึ่งเป็นไอโฟนรุ่นแรกที่มีฟีเจอร์นี้
474.923 -> แม้เราจะเคยเห็น Always On Display จนชินตามานานแล้วบนสมาร์ตโฟนแบรนด์อื่น ๆ แต่สำหรับผู้ใช้ไอโฟนแล้วนี่คือหนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่หลายคนรอคอยกันอยู่
484.822 -> และในเมื่อมาทีหลัง Apple ก็ต้องพยายามทำให้แตกต่างครับ
488.699 -> โดยมาพร้อมกับวิดเจ็ตที่น่าสนใจหลายตัว และแม้จะใช้เทคนิคการ Drop แสงลงไป แต่โทนสีของภาพก็ยังสวยเหมือนเดิม เช่นสีผิวของคน
497.718 -> ซึ่งดูเหมือนจอจะติดอยู่ตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้วจะติดเฉพาะตอนที่เรามองเห็นหน้าจอเท่านั้น เพื่อเป็นการประหยัดแบตเตอรี่
504.764 -> เช่นในขณะที่เราเอาเครื่องใส่ไว้ในกระเป๋า หรือขณะที่คว่ำหน้าจอลงบนโต๊ะ จอก็จะดับไปเองโดยอัตโนมัติ
511.601 -> อย่างไรก็ดี Always On Display นั้นอาจดูสวยแปลกตา แต่ก็อาจจะยังไม่ใช่แบบที่หลายคนอยากให้เป็นครับ เพราะมันเป็นเหมือนแค่การลดความสว่างของหน้าจอ Lock Screen ลง
522 -> อีกทั้งมีความสว่างเกินไปในที่มืดสนิท เช่นเวลาเราปิดไฟนอน อีกทั้งยังมีการแจ้งเตือนแบบ Pop Up เช่นเดียวกับหน้า Lock Screen ปกติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะกลายเป็นการรบกวนการนอนไป
533.898 -> ในทางตรงกันข้าม หาก Always On Display เป็นจอที่ดำสนิท แล้วแสดงผลเฉพาะข้อมูลที่สำคัญเท่านั้น ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับบางคน
542.749 -> แต่ข้อจำกัดสำคัญของ Always On Display ก็คือไม่เปิดโอกาสให้เราตั้งค่าใด ๆ ได้เอง เช่นการเลือกว่าจะให้แจ้งเตือนอะไรบ้าง หรือการเลือกช่วงเวลาของการเปิดใช้งาน Always On Display
555.287 -> ดังนั้นโดยส่วนตัวแล้วก็เลือกที่จะปิด Always On Display ไว้ครับ เพราะปกติแล้วไม่ได้มองจอตลอดเวลา รวมทั้งไม่ชอบให้ใครมองเห็นจอของเรา และต้องการประหยัดแบตเตอรี่ไว้เพื่อใช้งานอย่างอื่นมากกว่า
567.515 -> เพราะการเปิด Always On Display ทิ้งไว้ทั้งวัน อาจทำให้สิ้นเปลืองแบตเตอรี่มากขึ้นราว 5-10% เลยทีเดียว
574.25 -> แต่สำหรับท่านไม่ได้ใช้งานเครื่องมากนักในแต่ละวัน การเปิด Always On Display ไว้ก็คงไม่ทำให้รู้สึกว่าแบตเตอรี่หมดเร็ว เพราะแบตเตอรี่ของ iPhone 14 Pro Max นั้นก็ค่อนข้างอึดอยู่แล้วครับ
586.264 -> อีกจุดที่ชอบมากที่สุดใน iPhone 14 Pro Max ก็คือกล้องนั่นเองครับ พูดได้ว่าในชั่วโมงนี้ความสามารถโดยรวมด้านถ่ายภาพ และวิดีโอนั้นอยู่ในระดับหัวแถว
596.401 -> ด้วยการอัปเกรดเซนเซอร์เป็นแบบ Quad-Pixel ความละเอียด 48MP เป็นครั้งแรก หลังจากหยุดอยู่ที่เซนเซอร์ 12MP มาหลายปี
605.388 -> แต่การที่จะบันทึกภาพด้วยความละเอียดเต็ม ๆ ที่ 48MP ก็จะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง
611.201 -> อย่างแรกคือเราจะต้องถ่ายด้วยโหมด ProRAW เท่านั้น และอย่างที่สองคือเราต้องถ่ายด้วยกล้องหลักที่ระยะ 1x เท่านั้น ไม่รองรับกับการถ่ายด้วยกล้อง Ultra Wide กับ Telephoto
622.109 -> ซึ่งแน่นอนว่าถ่ายด้วยโหมด ProRAW เราจะได้ไฟล์ภาพที่มีรายละเอียดดีกว่า รวมทั้งความคมชัด, แสง และสีสัน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยขนาดไฟล์ที่ใหญ่กว่ามาก
632.571 -> นั่นคือราว 75MB สำหรับความละเอียด 48MP และราว 25MB สำหรับความละเอียด 12MP ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เวลาการถ่ายโอนไฟล์มากกว่าปกติเช่นกัน
644.718 -> ในขณะที่ไฟล์ภาพถ่ายความละเอียด 12MP ทั่วไปที่ไม่ใช่ภาพ ProRAW จะมีขนาดเล็กแค่ประมาณ 2MB เท่านั้น
652.831 -> ดังนั้นก่อนที่เราจะเปิดใช้โหมด ProRAW เราควรแน่ใจว่าเราต้องการคุณภาพสูงสุดเพื่อนำไปปรับแต่งต่อในระดับที่จริงจัง
661.034 -> และเครื่องควรจะต้องมีความจุตั้งแต่ 256GB ขึ้นไป ไม่เช่นนั้นผมก็ไม่แนะนำให้เปิดใช้โหมด ProRAW เอาไว้ครับ
669.438 -> เพราะถึงแม้ว่าเราเลือกที่จะถ่ายภาพด้วยโหมดทั่วไป และไฟล์ภาพที่บันทึกจะมีความละเอียดที่ 12MP เช่นเดียวกับ iPhone 13 Pro Max รุ่นเดิม แต่คุณภาพนั้นดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว
681.025 -> ด้วยเซนเซอร์ใหม่ที่ใหญ่ขึ้นแบบ Quad-Pixel ที่อาศัยเทคนิค Pixel-Binning ซึ่งจะรวม 4 พิกเซลเล็ก ให้กลายเป็น 1 พิกเซลใหญ่ขนาด 2.44 ไมครอน
690.846 -> ผสานกับกระบวนการจัดการภาพใหม่ที่ดีกว่าเดิมอย่าง Photonic Engine ที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อยถึงปานกลาง
698.785 -> ด้วยการทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวระหว่างฮาร์ดแวร์ กับซอฟต์แวร์ ที่จะวิเคราะห์ภาพแบบพิกเซลต่อพิกเซล พร้อมการทำงานของ Deep Fusion ในช่วงแรก ๆ ของการประมวลผลภาพ
708.868 -> จึงสามารถเก็บแสงได้ดีขึ้น, ถ่ายทอดรายละเอียดได้ยอดเยี่ยมกว่าเดิม, บันทึกภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่า, มี Dynamic ดีขึ้น, มี Noise น้อยลง, คมชัดขึ้น และแทบไม่มีอาการ Shutter Lag
720.766 -> เรียกว่ากล้องทุกตัว รวมทั้งกล้อง TrueDepth ที่ด้านหน้านั้นมีประสิทธิภาพดีขึ้นสูงสุด 2-3 เท่าเลยทีเดียว
728.668 -> ซึ่งตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ ในสถานการณ์เดียวกัน โดยเฉพาะในที่แสงน้อย หรือเวลากลางคืน iPhone 13 Pro Max จะต้องเปิดชัตเตอร์นานกว่า หรือต้องเข้าโหมดกลางคืน
739.668 -> ในขณะที่ iPhone 14 Pro Max อาจยังไม่ทันเข้าโหมดกลางคืนเสียด้วยซ้ำ
744.501 -> นอกจากนี้ยังถ่ายภาพ Ultra Wide ได้สวยกว่าเดิม, ละลายฉากหลังในโหมด Portrait ได้สวยเนียนกว่าเดิม รวมทั้งรองรับฟีเจอร์ Foregroud Blur หรือการเบลอสิ่งที่อยู่ด้านหน้า และถ่ายภาพ Macro ได้คมกว่าเดิม
757 -> อย่างไรก็ดี สำหรับภาพถ่าย 12MP ในสภาพแสงตอนกลางวันนั้นหากไม่สังเกตใกล้ ๆ ก็ดูแทบไม่ต่างจาก iPhone 13 Pro Max
765.551 -> สำหรับกล้อง TrueDepth ที่ด้านหน้านั้น แม้จะมีความละเอียดที่ 12MP เท่าเดิม แต่ถ่ายได้ดีขึ้นมากเลยทีเดียวครับ ด้วยการอัปเกรดรูรับแสงให้กว้างขึ้นเป็น f1.9 จากเดิมที่เป็น f2.2
778.012 -> ซึ่งช่วยให้ถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น, มีระบบโฟกัสอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้เซลฟี่ได้คมชัดขึ้น
784.903 -> รวมทั้งมี Photonic Engine เข้ามาช่วยประมวลผลภาพ ซึ่งช่วยให้ภาพเซลฟี่มีรายละเอียดที่ดีขึ้น มีสีสันที่ดีขึ้น และมี Dynamic ที่ดีขึ้น
794.491 -> ต่อมาที่น่าสนใจก็คือเรื่องของระยะซูมที่ต่อเนื่องมากขึ้นเป็น 0.5x/1x/2x/3x จากเดิมที่มีแค่ 3 ระยะคือ 0.5x/1x/3x
807.087 -> ซึ่งระหว่าง 1x กับ 3x นั้นเป็นระยะที่กระโดดเกินไป แต่ด้วยเซนเซอร์ 48MP ใหม่ ทำให้เรามีระยะ 2x เพิ่มเข้ามา ด้วยเทคนิคการ Crop ตรงกลางจากกล้องหลัก
818.634 -> และหากพูดถึงความสามารถด้านการถ่ายวิดีโอ ก็ต้องยอมรับว่า iPhone 14 Pro Max ดูจะทำได้ดีที่สุดในชั่วโมงนี้ครับ และแน่นอนว่าดีกว่า iPhone 13 Pro Max ที่ดีมากอยู่แล้วด้วยเช่นกัน
830.862 -> ซึ่งการอัปเกรดที่สำคัญอย่างแรกก็คือระบบป้องกันการสั่น Sensor-Shift Optical Image Stabilization รุ่นที่สอง ที่ช่วยให้วิดีโอนิ่งกว่าเดิม
840.237 -> ต่อมาคือโหมด Cinematic ซึ่งรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 4K ทั้งกล้องหลัง และกล้องหน้า จากเดิมที่สูงสุดแค่ระดับ 1080P เรียกว่าเอาไปใช้งานแบบจริงจังได้ดีกว่าเดิม หรือมีโอกาสได้ใช้บ่อยกว่าเดิม
854.619 -> แต่จะว่าไปจริง ๆ ก็ควรจะทำได้ตั้งแต่รุ่นที่แล้ว อีกทั้งยังคงเปลี่ยนระยะซูมขณะถ่ายไม่ได้ รวมทั้งในบางครั้งในขณะที่บันทึกด้วยโหมด Cinematic ค่า White Balance หรืออุณหภูมิสีอาจเปลี่ยนไป
868.011 -> และสุดท้ายคือ Action Mode ที่รองรับการบันทึกกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหว, การสั่น หรือการส่ายมากเป็นพิเศษ นั่นคือเหมือนเราได้พกกล้อง Action Camera ดี ๆ สักตัวไปด้วยนั่นเอง
878.9 -> ซึ่งอาศัยเทคนิคการ Crop มาเฉพาะส่วนกลาง พร้อมตัดขอบด้านนอกออกไปส่วนหนึ่งเพื่อชดเชยการสั่น ดังนั้นความละเอียดสูงสุดจึงอยู่ที่เพียง 2.8K รวมทั้งไม่สามารถเปลี่ยนกล้องระหว่างถ่ายได้
891.496 -> เช่นหากเราเลือกใช้กล้อง Ultra Wide หรือกล้องระยะ 0.5x ตั้งแต่แรก เราก็ไม่สามารถสลับไปเป็นกล้องหลัก หรือกล้อง Telephoto ได้ และซูมได้สูงสุดที่ระยะ 1.5x นั่นเอง
903.151 -> แต่ข้อจำกัดบางอย่างของ Action Mode ก็คือควรใช้ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงสว่างเพียงพอ และภาพก็ยังไม่ได้นิ่งมากเท่ากับกล้อง Action Camera จริง ๆ
912.72 -> นอกจากนั้นก็ยังคงนำเอาความสามารถระดับสูงใส่มาให้เช่นเดิม เช่นการบันทึกวิดีโอระดับมืออาชีพแบบ 4K ProRes หรือ 4K HDR Dolby Vision ที่ทำงานให้จบได้ภายในเครื่องเดียว
925.751 -> ซึ่งจะเห็นว่ากล้องของ iPhone 14 Pro Max นั้นมีโหมด และฟีเจอร์ต่าง ๆ มาให้พร้อมใช้งานในแทบทุกสถานการณ์ แต่ก็ยังขาดโหมด Pro จึงทำให้เราไม่มีโอกาสได้ปรับแต่งค่าสำหรับการถ่ายภาพ หรือถ่ายวิดีโอได้ด้วยตัวเองแบบละเอียด
939.939 -> อีกทั้งบางฟีเจอร์ก็ยังไม่ได้อัปเกรดขึ้นมา เช่นยังไม่สามารถบันทึกวิดีโอแบบ 8K ได้ หรือยังไม่สามารถบันทึกวิดีโอแบบ Slow Motion ได้เร็วกว่า 240 fps
951.151 -> ต่อมาหากให้พูดถึงเรื่องของประสิทธิภาพโดยรวม ก็ต้องบอกว่าเท่าที่ใช้งานมานั้นแทบไม่รู้สึกแตกต่างจาก iPhone 13 Pro Max ที่ใช้ชิปเซ็ต A15 Bionic แม้ iPhone 14 Pro Max จะเปลี่ยนมาใช้ชิปเซ็ตตัวใหม่อย่าง A16 Bionic
964.66 -> เพราะแต่เดิมชิปเซ็ต A15 Bionic ก็เร็วแรงมากเกินพออยู่แล้วนั่นเอง ยกเว้นเราจะวัดกันที่คะแนน Benchmark
971.512 -> แต่ก็แน่นอนว่าประมวลผลได้เร็วขึ้น ซึ่งตามข้อมูลคือราว 10-15% รวมทั้งประหยัดแบตเตอรี่ได้ดีขึ้นเล็กน้อย และมีการอัปเกรดหน่วยประมวลผลภาพใหม่ เพื่อให้รองรับกับ Photonic Engine ได้นั่นเอง
984.225 -> ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วชิปเซ็ต A16 Bionic นั้นมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับชิปเซ็ต M1 เลยทีเดียว และนั่นก็ทำให้ A16 Bionic เป็นชิปเซ็ตสำหรับสมาร์ตโฟนที่เร็วแรงที่สุดในชั่วโมงนี้
996.103 -> อย่างไรก็ดีหากต้องมีการประมวลผลหนัก ๆ อย่างต่อเนื่อง เครื่องจะค่อนข้างร้อน แต่ด้วยเครื่องที่ใหญ่มีพื้นที่เยอะ จึงทำให้ระบายความร้อนได้ค่อนข้างเร็วด้วยเช่นกัน
1006.317 -> ในด้านของซอฟต์แวร์ สำหรับ iOS 16 นั้นก็ถูกพัฒนาขึ้นมามาก ซึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่ชอบเป็นพิเศษก็เช่นการลบพื้นหลังออกจากภาพ ซึ่งทำได้ง่ายมาก และทำได้ค่อนข้างดี
1017.206 -> แม้จะไม่เนียนเท่ากับเราเอาไปทำในโปรแกรมตกแต่งภาพ หรือจะมีข้อจำกัดกับบางภาพที่มีรายละเอียดซับซ้อนก็ตาม แต่ก็สามารถเอาไปใช้งานสนุก ๆ หรือใช้งานแบบด่วน ๆ ได้สบาย ๆ
1028.211 -> อีกอย่างคือแอปพลิเคชันที่อยู่เบื้องหลังจะหยุดการทำงานชั่วคราวอย่างสมบูรณ์ ซึ่งช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้น แต่ก็อาจมีปัญหากับการทำงานบางอย่างที่ยังไม่เสร็จ
1038.151 -> เช่นขณะที่เรากำลังอัปโหลด Story บน Instagram ค้างอยู่ แล้วสลับไปใช้งานแอปพลิเคชันอื่นเพราะเราไม่อยากเสียเวลารอเฉย ๆ แต่การอัปโหลดนั้นกลับหยุดไปด้วย ซึ่งไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น
1049.718 -> ในขณะที่ในฝั่งของ Android ยังคงทำงานต่อเนื่อง ไม่หยุดกลางคันเช่นนี้
1054.532 -> อีกอย่างก็คือจอของ iPhone 14 Pro Max นั้นมีขนาดที่ใหญ่ถึง 6.7 นิ้ว แต่ยังคงแสดงไอคอนบนหน้าหลักแบบ 4 คอลัมน์ เท่ากับ iPhone 13 mini ที่มีจอเล็กเพียง 5.4 นิ้ว
1066.643 -> จริงอยู่ว่า 4 คอลัมน์ นั้นอาจดูสบายตา และเป็นมาตรฐานสำหรับ iOS แต่หากมีทางเลือกให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้เป็นแบบ 5 คอลัมน์ เพื่อให้ใช้งานพื้นที่จอขนาดใหญ่ได้คุ้มค่ามากขึ้น ก็น่าจะดีไม่น้อยครับ
1080.171 -> สิ่งที่ผมชอบที่สุดอย่างหนึ่งใน iPhone 14 Pro Max ก็คือลำโพงเสียงแบบคู่ที่มากับตัวเครื่องนั่นเองครับ
1086.829 -> ซึ่งเท่าที่เคยฟังเสียงจากลำโพงบนสมาร์ตโฟนหลาย ๆ รุ่นที่ผ่านมา ส่วนตัวก็ยังชอบเสียงที่ได้จากลำโพงของ iPhone 14 Pro Max มากที่สุด เช่นเดียวกับ iPhone 13 Pro Max เพราะให้คุณภาพเสียงที่ไม่ต่างกัน
1099.484 -> นั่นคือฟังแล้วมีมิติ ได้อารมณ์เสียงมาจากรอบทิศทาง มีรายละเอียดเสียงที่ดีตั้งแต่ย่านความถี่ต่ำ ไปจนถึงย่านความถี่สูง และมีความทุ้มที่ช่วยสร้างอรรถรสให้กับคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม
1112.372 -> โดยทั้งหมดนี้เกิดจากการทำงานร่วมกันที่ชาญฉลาดของลำโพงหลักที่ด้านล่าง กับลำโพงหูฟังที่ด้านบน ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของเสียงให้เหมาะสมได้โดยอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือเครื่องของเรา ทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน
1126.351 -> สำหรับเรื่องความอึดของแบตเตอรี่บน iPhone 14 Pro Max หลังจากที่ได้ใช้งานมานั้นก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลเลยครับ เพราะค่อนข้างอึดมาก เอาเป็นว่าถ้าใช้งานกลาง ๆ ทั่วไป เมื่อหมดวันแบตเตอรี่ก็ไม่น่าจะเหลือต่ำกว่า 40%
1141.335 -> ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากตัวชิปเซ็ต A16 Bionic เองที่ประหยัดแบตเตอรี่มากกว่าเดิม แม้ความจุของแบตเตอรี่จะลดลงจาก iPhone 13 Pro Max เล็กน้อยก็ตาม
1151.02 -> และยิ่งเราปิดฟีเจอร์บางอย่างที่อาจไม่จำเป็นนัก เช่น Always On Display หรือปรับอัตราการรีเฟรชให้เหลือ 60Hz ก็จะยิ่งช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้น
1160.996 -> แต่ต่อให้เราไม่ได้ตั้งค่าใด ๆ เพิ่มเติม แบตเตอรี่ก็ยังใช้งานได้นานตลอดวันอยู่ดีครับ
1166.645 -> ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับแบตเตอรี่ก็ไม่ต่างจาก iPhone 13 Pro Max ครับ ทั้งกำลังไฟที่รองรับได้สูงสุดที่ราว 27-29W เท่าเดิม
1175.668 -> และต้องใช้กับอะแดปเตอร์ที่มีกำลังไฟ 30W ขึ้นไป ซึ่งถือว่าช้ากว่าเรือธงแบรนด์อื่นอยู่มาก
1181.841 -> ต่อมาคือเทคโนโลยี MagSafe ที่ชาร์จแบบไร้สายได้ด้วยกำลังไฟสูงสุด 15W แต่ต้องใช้อุปกรณ์ที่รองรับ MagSafe เท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะรองรับกำลังไฟสูงสุดได้เพียง 7.5W บนมาตรฐาน Qi
1195.026 -> และสิ่งที่น่าเสียดายเดิม ๆ ก็คือไม่แถมอะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่มาให้ด้วยนั่นเองครับ
1200.519 -> เรื่องการเชื่อมต่อของ iPhone 14 Pro Max ก็มีการปรับปรุงอยู่บ้างครับ อย่างแรกคือการอัปเกรดจาก Bluetooth 5.0 มาเป็น Bluetooth 5.3
1209.68 -> ซึ่งช่วยให้มีความเสถียร, ประสิทธิภาพ และปลอดภัยมากขึ้น รวมทั้งอุปกรณ์ต่อพ่วงที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ส่วนกลางสามารถร้องขอช่องสัญญาณที่ต้องการได้เอง
1219.618 -> ต่อมาคือการอัปเกรด GPS เป็นแบบ Precision Dual-Frequency GPS หรือแบบความถี่คู่
1225.829 -> ซึ่งช่วยให้สัญญาณมีความแม่นยำมากขึ้น, ผิดพลาดน้อยลง, ป้องกันการรบกวนได้ดีขึ้น และผ่านสิ่งกีดขวางได้ดีกว่า ดังนั้นประสบการณ์การใช้งานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Bluetooth และ GPS ก็จะดีขึ้นครับ
1239.468 -> แต่สิ่งที่ไอโฟนยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลง และดูจะล้าหลังไปแล้วก็คือพอร์ต Lightning แม้นี่จะเป็นเรือธงรุ่นใหม่ของปี 2022 แล้วก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
1250.201 -> เพราะทางเทคนิคแล้วคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับ Apple ที่จะเปลี่ยนให้ไอโฟนมาใช้พอร์ต USB-C และควรทำได้มานานแล้วเพื่อการใช้งานที่ดีกว่า
1259.556 -> แต่ดูเหมือน Apple เลือกที่จะไม่เปลี่ยนด้วยเหตุผลบางอย่าง ในขณะที่อุปกรณ์อื่น ๆ ของ Apple เองเช่น iPad Pro, iPad, iPad mini หรือ MacBook Pro ต่างก็เปลี่ยนไปใช้พอร์ต USB-C กันแล้ว
1272.521 -> นั่นคือผู้ใช้งาน iPhone 14 Pro Max ก็ยังคงต้องยุ่งยากกับการพกสาย Lightning ไปด้วย แทนที่จะพกสาย USB-C เพียงแค่เส้นเดียวแล้วใช้งานได้กับทุกอุปกรณ์
1283.254 -> แต่อย่างน้อยก็มีข่าวดีอยู่บ้าง นั่นคือด้วยข้อบังคับของ EU ที่สมาร์ทโฟนต้องมีพอร์ต USB-C ตั้งแต่ปลายปี 2024
1291.551 -> ดังนั้นถ้าโชคดีอย่างเร็วเราก็อาจได้เห็น iPhone เริ่มเปลี่ยนไปใช้พอร์ต USB-C ตั้งแต่ iPhone 15 ในปีหน้า หรืออย่างช้าก็จะเป็น iPhone 16 ในปี 2024
1302.498 -> เว้นเสียแต่ว่า Apple จะตัดพอร์ตทุกอย่างทิ้ง แล้วใช้ระบบแบบไร้สายแทนไปเลยนั่นเองครับ
1308.302 -> สำหรับฟีเจอร์ช่วยชีวิตอย่าง Emergency SOS ที่ไอโฟนรุ่นก่อนหน้านี้จะติดต่อกับบริการฉุกเฉินได้ก็ต่อเมื่อมีสัญญาณเซลลูลาร์ และ Wi-Fi เท่านั้น
1317.813 -> แต่พอมาใน iPhone 14 ก็ได้อัปเกรดฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามาให้ในชื่อว่า Emergency SOS via Satellite
1324.781 -> ซึ่งแม้เราจะประสบเหตุร้ายอยู่นอกพื้นที่รับสัญญาณเซลลูลาร์ และ Wi-Fi แต่เราก็ยังสามารถส่งข้อความติดต่อบริการฉุกเฉินผ่านดาวเทียมได้ เรียกว่าไปไหนมาไหนก็มั่นใจเรื่องความปลอดภัยได้มากขึ้น
1337.222 -> แต่ความจริงที่น่าเสียดายก็คือฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะในสหรัฐอเมริกา และแคนาดาเท่านั้น รวมทั้งใช้งานไม่ได้ในพื้นที่ที่สูงกว่าละติจูด 62° หรือพื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวาง และใช้งานได้ฟรีเพียง 2 ปี
1352.351 -> ส่วนอีกหนึ่งฟีเจอร์ช่วยชีวิตที่เพิ่มเข้ามาใหม่ใน iPhone 14 ก็คือ Crash Detection หรือการตรวจจับการชนกัน ด้วยอัลกอริทึมขั้นสูงที่ Apple พัฒนาจากข้อมูลการขับขี่ และการชนกันที่เกิดขึ้นจริงกว่า 1 ล้านชั่วโมง
1366.422 -> โดยเมื่อเครื่องตรวจจับการชนที่รุนแรง เช่นรถชน หรืออุบัติเหตุที่รุนแรงอื่น ๆ เครื่องก็จะแสดงการเตือน และหากเราไม่ตอบสนองภายใน 20 วินาที เครื่องก็จะเริ่มติดต่อไปยังบริการฉุกเฉิน พร้อมระบุพิกัดของเราให้โดยอัตโนมัติ
1381.718 -> โดยฮาร์ดแวร์สำคัญที่อยู่เบื้องหลังฟีเจอร์ Crash Detection นี้ก็คือตัวเซนเซอร์ที่อัปเกรดใหม่มาเป็นแบบ High-G Accelerometer จากเดิมที่เป็นเซนเซอร์ Accelerometer ธรรมดา และเซนเซอร์ High Dynamic Range Gyro จากเดิมที่เป็น Three-Axis Gyro
1397.075 -> ซึ่งเซนเซอร์ High-G Accelerometer นั้นสามารถรองรับการตรวจจับการเร่งความเร็ว หรือลดความเร็ว หรือแรง G ได้สูงสุดถึงระดับ 256G
1406.974 -> ในขณะที่เซนเซอร์ Dynamic Range Gyro จะคอยตรวจจับการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในการวางแนวของตัวรถ
1413.593 -> และนอกจากนี้ก็ยังทำงานร่วมกับเซนเซอร์ที่มีอยู่แล้วอย่าง Barometer, GPS รวมทั้งไมโครโฟน
1420.401 -> แต่โดยส่วนตัวแล้วขอเลือกที่จะปิดฟีเจอร์นี้ไว้แม้จะดูเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ เพราะแม้ตัวเองจะยังไม่มีโอกาสทดสอบฟีเจอร์นี้
1428.495 -> แต่เท่าที่มีคนเคยนำไปทดสอบ ก็พบว่า Crash Detection นั้นอาจถูกปลุกการทำงานได้แม้ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุจริง ๆ เช่นในขณะที่กำลังเล่นเครื่องเล่นประเภทที่หวาดเสียว เร็ว ๆ แรง ๆ บางอย่างในสวนสนุก
1441.601 -> หรืออีกกรณีก็คือจะไม่ทำงานในขณะที่รถของเราไม่เคลื่อนที่ นั่นคือหากมีรถคันอื่นมาชนเราตอนที่เราจอดอยู่เฉย ๆ ฟีเจอร์นี้ก็จะไม่ทำงานนั่นเอง
1452 -> ดังนั้นโดยสรุปแล้วทั้ง 2 ฟีเจอร์ช่วยชีวิตใหม่นี้เราอาจจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จริง และดูเหมือนฟีเจอร์ Emergency SOS ที่มีอยู่เดิม ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับเหตุร้ายส่วนใหญ่แล้วครับ
1464.351 -> นอกจากนี้ iPhone 14 Pro Max ก็ยังรองรับระบบ Dual eSIM เช่นเดียวกับ iPhone 13 Pro Max นั่นคือสามารถใช้งานระบบซิมคู่ได้อย่างสมบูรณ์โดยที่ไม่ต้องใส่ซิมการ์ดจริง ๆ อีกต่อไป และได้ประโยชน์จากความสามารถของ eSIM อีกหลายอย่าง
1479.548 -> ตั้งแต่การที่ไม่ต้องถอดถาดซิมการ์ดออกมาให้ยุ่งยากเมื่อต้องสลับหมายเลข, ถ้าเครื่องหายใครก็ถอดซิมการ์ดของเราออกมาไม่ได้, ไปต่างประเทศก็สามารถเอาซิมการ์ดใหม่ของประเทศนั้น ๆ มาใส่ใช้งานได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องแกะซิมการ์ดเดิมออก
1494.978 -> รวมทั้งไม่เสี่ยงที่จะทำซิมการ์ดสูญหาย หรือจะเพิ่มโปรไฟล์ใหม่ใน eSIM ก็ยังได้ และรองรับการเพิ่มโปรไฟล์ได้สูงสุดถึง 6 หมายเลข 6 แพ็กเกจในเครื่องเดียวแบบไม่จำกัดเครือข่าย
1506.488 -> จึงสามารถสลับใช้งานได้ตามสถานการณ์ โดยเลือกใช้ได้ครั้งละหนึ่งโปรไฟล์ เรียกว่าใครที่มีหลายเบอร์ก็น่าจะถูกใจเป็นพิเศษ
1514.66 -> แต่ในอีกมุมหนึ่ง กรณีที่เครื่อง iPhone 14 Pro Max ของเราเกิดเสีย หรือมีปัญหาจนเปิดใช้งานไม่ได้ขึ้นมา เราก็ไม่สามารถถอดซิมการ์ดออกมาใส่อีกเครื่องได้
1524.889 -> ซึ่งก่อนตัดสินใจใช้งาน Dual eSIM แบบเต็มระบบก็ต้องพิจารณาในจุดนี้ด้วยเช่นกันครับ
1531.042 -> ด้านระบบสแกนใบหน้าด้วย Face ID ก็ยังคงใช้งานได้ดีเยี่ยมเช่นเคย แม้ฮาร์ดแวร์จะถูกย้ายไปไว้ที่ Dynamic Island ซึ่งมีพื้นที่เล็กลงกว่าเดิม
1540.32 -> ยังคงรองรับการปลดล็อกขณะใส่แมสก์ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เฉพาะพื้นที่รอบ ๆ ดวงตา และตั้งแต่ iOS 15.4 เป็นต้นมา เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้คู่กับ Apple Watch แล้ว
1551.422 -> แต่ในการใช้งานจริง ๆ การสแกนใบหน้าขณะใส่แมสก์ก็ไม่ได้ราบรื่นทุกครั้ง เพราะมีบ่อยครั้งที่สแกนไม่ผ่าน และผมต้องคอยช่วยขยับแมสก์ลงมาเล็กน้อยเพื่อให้เครื่องปลดล็อก
1563.203 -> ซึ่งก็น่าเสียดายที่ iPhone 14 Pro Max เครื่องนี้ยังคงไม่มี Touch ID หรือระบบสแกนนิ้วบนหน้าจอมาให้เป็นทางเลือกเพิ่มเติมเหมือนสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น ๆ ครับ
1573.335 -> สุดท้ายเรื่องของราคาก็เป็นอีกครั้งที่ iPhone 14 Pro Max นั้นแพงขึ้น นั่นคือบวกเพิ่มอีกราว 2-4 พันบาท ด้วยสาเหตุจากอัตราแลกเปลี่ยน
1582.652 -> หลังจากปีที่แล้ว iPhone 13 Pro Max ก็เคยปรับราคาขึ้นจาก iPhone 12 Pro Max ราว 3 พันบาท มาแล้วรอบหนึ่ง
1590.455 -> ซึ่งทำให้ iPhone 14 Pro Max นั้นมีราคาเริ่มต้นที่สูงถึง 44,900 บาท กับความจุเพียง 128GB และไปสูงสุดที่ 66,900 บาท สำหรับรุ่นความจุ 1TB
1603.925 -> ซึ่งหวังว่ารีวิวนี้จะช่วยให้ท่านตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรลงทุนก้อนใหญ่กับ iPhone 14 Pro Max เครื่องนี้หรือไม่
1611.359 -> แต่ถึงจะแพงอย่างไร iPhone 14 Pro Max ก็ยังคงเป็นไอโฟนที่มีความต้องการสูงสุด ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังคงขาดตลาด กลายเป็นของหายาก รวมถึงในบ้านเรา
1622.597 -> ด้วยปัญหาเกี่ยวกับสายการผลิตที่ประเทศจีน เรียกว่าสั่งซื้อตอนนี้ก็อาจต้องรอไปอย่างน้อย 3 สัปดาห์เลยทีเดียวครับ
1629.643 -> สรุปแล้วหลังจาก 4 เดือนที่ผมได้ใช้ iPhone 14 Pro Max เครื่องนี้มา อย่างหนึ่งที่บอกได้ก็คือ นี่เป็นหนึ่งในสมาร์ตโฟนที่ผมชอบที่สุดในปีนี้ และเป็นหนึ่งในเครื่องหลักที่ใช้งานอยู่เป็นประจำ
1641.618 -> แต่ในอีกด้านก็ต้องยอมรับว่า iPhone 14 Pro Max เครื่องนี้ยังไม่ใช่สมาร์ตโฟนที่สมบูรณ์แบบ ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติมกันต่อไป ดังที่ได้พูดถึงกันไปข้างต้น
1652.448 -> แต่อย่างน้อยก็ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ในหลาย ๆ จุด
1655.787 -> และสำหรับใครที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้อดีหรือไม่ คำแนะนำสั้น ๆ อย่างแรกก็คือหากคุณใช้ iPhone 13 Pro Max อยู่แล้ว ก็ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนในตอนนี้
1665.55 -> เพราะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ควรเก็บเงินก้อนใหญ่นี้ไว้ แล้วข้ามไป iPhone 15 เลยน่าจะดีกว่า ยกเว้นคุณใช้รุ่นที่เก่ากว่านี้ หรือไม่มีปัญหาเรื่องราคาค่าตัวที่ค่อนข้างสูง และแพงกว่าเดิม
1677.584 -> ส่วนคนที่เน้นความคล่องตัวในการพกพา ก็แนะนำให้เลือก iPhone 14 Pro แทน เพราะว่าความสามารถเด่น ๆ นั้นไม่ต่างกัน ยกเว้นขนาดจอ กับแบตเตอรี่เท่านั้น และยังประหยัดเงินได้อีกนิดครับ
1688.744 -> สุดท้ายหากท่านชอบคลิปนี้ก็อย่าลืมกด Like เพื่อเป็นกำลังใจ กด Subscribe เพื่อติดตาม และกดกระดิ่งเพื่อแจ้งเตือนเมื่อเรามีคลิปใหม่ ๆ
1696.78 -> สำหรับวันนี้ผมก็คงต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันได้อีกในคลิปต่อไป สวัสดีครับ

ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=enAFs_dJbDQ