
รู้ทันความปรุงแต่งของจิต :: หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช 20 ก.พ. 2565
รู้ทันความปรุงแต่งของจิต :: หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช 20 ก.พ. 2565
รู้ทันความปรุงแต่งของจิต :: หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช 20 ก.พ. 2565
ค่อยภาวนาถึงจุดหนึ่ง
เราจะพบว่าความปรุงแต่งทั้งหลายคือทุกข์
พอรู้แล้ว ปัญญามันแก่รอบ มันก็ไม่เอาแล้ว
ความปรุงแต่ง จะปรุงชั่ว จะปรุงดี
หรือพยายามจะไม่ปรุง
มันก็คือปรุง ก็คือทุกข์ทั้งหมด
พอจิตมันพ้นจากความปรุงแต่ง
มันก็เข้าถึงความสุขที่อยู่เหนือความปรุงแต่ง
ความสุขของความสงบ
ความสุขของการพ้นความเสียดแทงทั้งหลาย
ความสุขของการไม่มีภาระของใจ
ใจมันมีความสุขขึ้นมา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
20 กุมภาพันธ์ 2565
Content
1.486 -> จิตใจเรามันไม่เคยหยุดความปรุงแต่ง
5.776 -> มันเป็นธรรมดาอย่างนั้น
9.656 -> มันก็ปรุงดีบ้าง ปรุงชั่วบ้าง
13.166 -> พยายามจะไม่ปรุงบ้าง
16.236 -> หมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ทั้งวัน
22.298 -> เราคอยรู้เท่าทันความปรุงแต่งของจิตใจ
31.988 -> ปรุงชั่ว มันปรุงจนเคยชิน
39.288 -> เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หลง
45.382 -> รู้ทันเวลามันโลภขึ้นมาก็รู้
48.862 -> มันโกรธขึ้นมาก็รู้ มันหลงก็รู้
53.102 -> คอยรู้ทันความปรุงแต่ง
57.662 -> บางทีมันก็ปรุงดี
61.662 -> เมื่อวานหลวงพ่อตรวจการบ้านพระในนี้
69.332 -> เรียนกับหลวงพ่อมา 20 กว่าปีแล้ว
76.835 -> วันๆ ก็เอาแต่ปรุงแต่ง
81.875 -> คอยควบคุมตัวเอง บังคับ
88.219 -> อย่างเวลาจะพูดต้องพูดเสียงหล่อๆ
91.989 -> เสียงไม่เป็นธรรมชาติ เสียงต้องหล่อ
96.534 -> พวกเราก็ทำเสียงให้สวยๆ พวกผู้หญิง
103.194 -> ผู้ชายก็ทำเสียงหล่อๆ
108.084 -> จะทำ จะเคลื่อนไหวอะไร จะทำงานอะไร
114.852 -> ก็เหมือนพระเอกอยู่ต่อหน้ากล้อง
121.44 -> ต้องให้ดูดี เหมือนเล่นหนังอยู่ตลอดเวลา
127.74 -> เหมือนเขาถ่ายหนัง
129.8 -> ผู้หญิงก็เป็น ไม่ใช่เป็นแต่ผู้ชายหรอก
133.8 -> ทำตัวเป็นดาราหน้ากล้องอยู่เรื่อยๆ
137.8 -> เวลาจะพูดก็ทำเสียงหล่อ เสียงสวย
142.81 -> ให้เสียงสวยๆ
150.94 -> ภาษาโบราณเขาเรียกมารยา
155.062 -> มารยามาก
159.062 -> เป็นคนธรรมดาให้เป็น
162.212 -> ทำอย่างไรจะเป็นคนธรรมดาเป็น
165.365 -> รู้ทันว่ากำลังมารยาอยู่
168.885 -> กำลังเก๊กหล่อเก๊กสวยอยู่
171.744 -> รู้ทันไป
174.224 -> นี่เป็นความปรุงแต่งทั้งหมดเลย
177.214 -> เวลาจะภาวนาก็เก๊ก
181.494 -> เก๊กเป็นนักปฏิบัติ
184.275 -> วางฟอร์มจะเคลื่อนไหว
187.675 -> จะขยับ จะพูด จะกินอะไรนี่
192.657 -> มันมีฟอร์มของนักปฏิบัติ
197.007 -> เป็นนักปฏิบัติ
198.737 -> เดินก็ต้องไม่เดินเหมือนคนอื่นเขา
201.807 -> นั่งก็ต้องนั่งไม่เหมือนคนอื่น
204.587 -> ทำอะไรก็ต้องไม่เหมือนคนธรรมดา
209.987 -> ความปรุงแต่งของจิต ถ้าเราไม่รู้ทัน
213.277 -> เราก็โดนมันครอบอยู่อย่างนี้
216.562 -> ไม่สามารถเอาชนะมันได้
220.562 -> ก็เลยไม่ธรรมดาเสียที
224.132 -> ฝ่ายชั่วก็อย่างที่เล่า
228.532 -> ทำไปด้วยอำนาจของราคะ โทสะ โมหะ
233.143 -> ฝ่ายดีก็ทำด้วยอำนาจของโลภะเหมือนกัน
237.143 -> ราคะแต่ไม่ใช่กามราคะ
240.443 -> อยากดี อยากได้มรรคได้ผล
243.683 -> อยากถึงพระนิพพาน
247.449 -> มันก็มาจากความอยากทั้งนั้นล่ะ
251.449 -> จะปรุงดี หรือปรุงชั่ว
254.579 -> มันก็เกิดจากตัณหา
259.079 -> ความปรุงของจิตใจคือสิ่งที่เรียกว่าภพ
265.987 -> ฉะนั้นเราจะสร้างภพของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
272.027 -> ตอนนี้เป็นผู้บริหารบริษัท
276.037 -> สร้างภพ ต้องวางฟอร์มอย่างนี้
280.437 -> แต่งตัวอย่างนี้ กินอย่างนี้ พูดอย่างนี้
285.427 -> ตอนนี้เป็นอาจารย์ ก็ต้องแต่งตัวอย่างนี้
289.427 -> วางฟอร์มอย่างนี้ พูดอย่างนี้
295.687 -> กระทั่งเป็นพระ
298.737 -> พระก็ต้องทำให้ดูดี ดูเรียบร้อย
301.887 -> วางฟอร์มให้ดูเป็นพระ
306.177 -> พยายามปรุง ปรุงให้ดูดี
311.027 -> ลึกๆ ลงไปมันคือความรักตัวเอง
315.027 -> มันไม่ได้ทำให้เกิดสติเกิดปัญญาอะไรหรอก
319.027 -> การที่เรานั่งปรุงตัวเองให้ดูดี
324.974 -> คอยรู้ทันไปที่ปรุงดีนี่ล่ะ
328.974 -> ติดแล้วแก้ยากกว่าปรุงชั่วอีก
333.555 -> ปรุงชั่ว อย่างจิตเดี๋ยวก็ปรุงโกรธ
336.565 -> ปรุงโลภ ปรุงหลงอะไรขึ้นมา
339.616 -> อันนี้เรารู้ว่าเป็นของไม่ดี
342.736 -> เราก็ละง่าย เพราะมันมองเห็นง่าย
346.402 -> อย่างเวลาโกรธ เห็นไหม
348.512 -> หน้าตาเราก็เป็นยักษ์เป็นมาร
351.372 -> เสียงเราก็สั่น
353.392 -> โกรธมากเสียงสั่นเลย
355.832 -> เอะอะโวยวายอะไรอย่างนี้
358.562 -> มันดูน่าเกลียด
361.212 -> ในขณะที่ปรุงดีมันดูน่าดู
364.182 -> มันดูดี
366.702 -> ฉะนั้นปรุงชั่วยังรู้ทันได้ง่าย
370.372 -> ละได้ง่ายกว่าปรุงดี
374.817 -> แต่ไม่ว่าปรุงดีหรือปรุงชั่ว
376.927 -> มันก็เริ่มมาจากตัณหาเหมือนกัน
379.628 -> อยาก
381.878 -> อยากดีของตัวเองด้วย
384.178 -> อยากให้คนอื่นเห็นว่าเราดีด้วยอะไรอย่างนี้
387.407 -> มีหลายอย่าง
389.778 -> ลึกลงไปก็คือมันมีเราอยู่
394.608 -> มันมีความหลงผิดว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ
400.308 -> ว่าตัวเรามีอยู่
403.742 -> ถ้าเรารู้สึกขึ้นมา
406.823 -> จะปฏิบัติธรรมก็ต้องทำให้ดี
411.033 -> ก็สนองความเป็นตัวตนนั่นล่ะ
414.538 -> โลภ โกรธ หลง
416.268 -> มันก็สนองความเป็นตัวตนเหมือนกัน
421.118 -> ฉะนั้นความเป็นตัวตน
423.238 -> มันถูกพิทักษ์รักษาเอาไว้
426.808 -> วางฟอร์มให้ดูดีอะไรอย่างนี้
431.388 -> ลึกๆ ลงไปก็คือปกป้องตัวตนเอาไว้
442.168 -> เฝ้ารู้เฝ้าดู
443.628 -> เฝ้าสังเกตตัวเองเป็นลำดับๆ ไป
449.138 -> เมื่อไรจะธรรมดา
454.408 -> คนในโลกไม่มีธรรมดาหรอก
458.118 -> คนทั้งโลกหาคนธรรมดายากมาก
463.023 -> อย่างเวลาเราโกรธ
464.738 -> จิตใจเราก็เสียความเป็นธรรมดาไป
468.288 -> เวลาเราโลภ
469.508 -> จิตใจก็เสียความเป็นธรรมดา
472.658 -> เวลาหลงจิตก็เสียความเป็นธรรมดา
476.828 -> เวลาอยากดี
478.748 -> พยายามบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง
481.668 -> เราก็เสียความเป็นธรรมดา
486.538 -> ธรรมดาเลยถูกปิดบังเอาไว้
489.518 -> ด้วยความปรุงแต่งที่ไม่ธรรมดา
493.468 -> คนทั้งโลกมันไม่ธรรมดาหรอก
496.668 -> มันถูกกิเลสปรุงแต่งอยู่
499.148 -> แล้วมันไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น
502.288 -> อาศัยเราได้ยินได้ฟังธรรมะภาคปฏิบัติ
506.288 -> เรารู้
508.298 -> พัฒนาสติขึ้นมา
510.028 -> รู้ทันเข้าไป
511.758 -> ตอนนี้จิตไม่ธรรมดาแล้ว
514.528 -> ไม่ธรรมดาเพราะกิเลสฝ่ายชั่ว ตกต่ำเลย
520.668 -> โลภ โกรธ หลง
522.408 -> หรือไม่ธรรมดาเพราะอยากดี
527.478 -> ปรุงดีหรือปรุงชั่ว มันก็ปรุงแต่ง
533.828 -> รู้ลงไปเรื่อยๆ
535.638 -> รู้ทันความปรุงแต่ง
538.398 -> แล้ววันหนึ่งก็จะพ้นจากความปรุงแต่งได้
546.189 -> ถ้าเราไม่รู้ทันความปรุงแต่ง
549.148 -> เราก็มีแต่ปรุงแต่งมากขึ้นๆ
552.918 -> ปรุงไปตามความเคยชิน
555.318 -> เคยชั่วก็ปรุงชั่วบ่อย
558.278 -> เป็นนักปฏิบัติ
ก็ปรุงการวางฟอร์มเป็นนักปฏิบัติ
563.252 -> ปรุงทั้งนั้นล่ะ
565.805 -> แต่พอเรารู้ทัน
567.275 -> ถึงจุดหนึ่ง ความปรุงแต่งเกิด
569.685 -> เรามีสติรู้
571.918 -> จิตใจจะเป็นอิสระจากความปรุงแต่ง
576.898 -> อย่างมันโกรธขึ้นมา
578.138 -> เรารู้ว่าโกรธอย่างนี้
580.378 -> จิตใจก็จะเป็นอิสระจากความโกรธ
584.378 -> ความโกรธมาครอบงำจิตไม่ได้แล้ว
587.878 -> มาบงการพฤติกรรมทางกาย วาจา ใจไม่ได้
593.688 -> ทางใจคือบงการความคิด
596.068 -> อย่างเราโกรธคนสักคน
598.014 -> เราก็คิดไม่ดีกับเขา
600.244 -> ความโกรธมันบงการความคิด
604.244 -> บงการคำพูด
606.684 -> เช่น ไปด่าเขาอะไรอย่างนี้
609.104 -> บงการการกระทำ เช่น ไปตีเขา
614.331 -> ความโลภก็บงการพฤติกรรมทางกาย วาจา ใจ
622.64 -> ความดีก็บงการพฤติกรรม
ทางกาย ทางวาจา ใจเหมือนกัน
631.4 -> ปรุงดีก็ดีกว่าปรุงชั่ว
635.66 -> ปรุงดีชีวิตนี้ก็จะเวียนว่าย
640.18 -> ในสังสารวัฏไปอย่างมีความสุขมากหน่อย
645.45 -> ปรุงชั่วก็จะเวียนว่ายไปในความทุกข์มากๆเลย
650.94 -> ไม่ใช่มากหน่อย มากๆ เลย
654.94 -> ฉะนั้นความปรุง มันมีปรุงดีปรุงชั่ว
658.94 -> ปรุงดีก็ดีกว่าปรุงชั่ว
661.9 -> แต่รู้ทันความปรุงแต่ง
664.05 -> อยู่เหนือความปรุงแต่งได้
665.86 -> อันนั้นดีที่สุด
668.67 -> ปรุงชั่วก็ทุกข์แบบคนชั่ว
671.5 -> คือทุกข์แสนสาหัส
673.96 -> ปรุงดีมันก็ทุกข์อย่างคนดี
677.23 -> มันก็ทุกข์เหมือนกัน
680.79 -> เมื่อไรพ้นจากความปรุงแต่ง
683.21 -> มันก็ไม่ทุกข์
685.76 -> ธรรมะที่พ้นจากความปรุงแต่งเรียกว่าวิสังขาร
691 -> เป็นชื่อหนึ่งของพระนิพพาน
693.25 -> วิสังขาร
698.24 -> ทำอย่างไรเราจะพ้นความปรุงแต่ง
700.75 -> รู้ลงไปเลย
701.96 -> จิตปรุงก็รู้
703.29 -> ปรุงก็รู้ไป
705.75 -> มันปรุงโลภ ปรุงโกรธ ปรุงหลงก็รู้
709.12 -> มันปรุงจะเป็นคนดี
711.84 -> ปรุงเป็นนักปฏิบัติ
714.35 -> หรือมันปรุงโน้นปรุงนี้ไปเรื่อยๆ
717.29 -> ปรุงเป็นพ่อ ปรุงเป็นแม่
720.2 -> ปรุงเป็นลูก
722.37 -> ปรุงทั้งนั้นล่ะ
723.85 -> อย่างลูกจะพูดกับพ่อแม่ใช่ไหม
725.93 -> ก็ปรุงไปแบบหนึ่ง
727.7 -> เวลาไปคุยกับเพื่อน
729.14 -> มันก็ปรุงไปอีกแบบหนึ่ง
731.86 -> ฉะนั้นทุกคนมันมีหน้ากากจำนวนมาก
736.79 -> ความปรุงแต่งของเรา
740.05 -> ใส่หน้ากาก เปลี่ยนหน้ากากไปเรื่อย
743.22 -> มันเป็นผู้บริหารก็มีหน้ากากอย่างนี้
746.15 -> เป็นพระมีหน้ากากอย่างนี้
751.15 -> รู้ไม่ทันก็เป็นทาสมันไปเรื่อยๆ
755.15 -> รู้ทันความปรุงแต่ง
757.51 -> ความปรุงแต่งก็ครอบงำใจไม่ได้
760.97 -> อย่างความปรุงชั่วมันเกิด
763.54 -> เรามีสติรู้ทันปั๊บ
765.98 -> ความปรุงชั่วจะดับอัตโนมัติเลย
769.23 -> อย่างเราโลภอยู่
772.14 -> ถ้าเราไม่รู้ทัน
773.33 -> ความโลภก็บงการพฤติกรรมทางกาย วาจา ใจ
777.817 -> ทางใจก็คือบงการความคิด
781.387 -> ถ้าเรารู้ทัน
782.727 -> เราก็จะเห็นความโลภมันอยู่ส่วนหนึ่ง
785.267 -> จิตใจเราอยู่ส่วนหนึ่ง
787.077 -> ไม่ถูกมันครอบ
788.977 -> ความโลภก็จะดับลงในทันทีนั้นเลย
792.507 -> ที่สติรู้สึก จิตตั้งมั่น มีสมาธิที่ถูกต้อง
798.147 -> มีสติที่ถูกต้อง
801.207 -> สติที่ถูกต้อง
จะเกิดพร้อมๆ สมาธิที่ถูกต้องนั่นล่ะ
806.697 -> เกิดด้วยกันนั่นล่ะ
809.237 -> เพราะฉะนั้นเราฝึกเจริญสติ
811.487 -> แล้วสติที่ถูกต้องก็เกิด
813.287 -> สมาธิที่ถูกต้องก็จะเกิด
820.167 -> วิธีฝึกสติทำได้เยอะแยะไป
822.967 -> อย่างการรู้สังขารอย่างนี้
825.027 -> คือรู้การปรุงแต่งของจิต
828.267 -> คือรู้ทันจิตตสังขารนั่นล่ะ
830.437 -> ความปรุงแต่งของจิต
832.917 -> ตัวสังขารขันธ์
835.767 -> ปรุงโลภ ปรุงโกรธ ปรุงหลง รู้ทัน
839.767 -> มันก็จะดับไป
842.207 -> ปรุงดี รู้ทัน
844.827 -> การปรุงก็จะค่อยๆ ลดระดับลง
847.797 -> เข้าไปสู่ความเป็นธรรมดา
850.837 -> เป็นธรรมดาแล้ว
จิตใจที่ธรรมดามันเป็นอย่างไร
854.837 -> จิตใจที่ธรรมดามันเป็นผู้รู้
862.007 -> มันทำหน้าที่รู้
864.217 -> ไม่ใช่ปรุงแต่งโน้นนี้ไป
867.457 -> แล้วมันมีภาวะแห่งความตื่นเกิดขึ้น
871.457 -> เราจะรู้สึกเลยทันทีที่จิตเราตื่น
874.057 -> เราจะรู้เลยตลอดชีวิตที่ผ่านมา
877.177 -> ตื่นแต่ร่างกาย แต่จิตไม่เคยตื่นเลย
882.219 -> แล้วสภาวะที่ธรรมดาของจิตใจ
885.739 -> มันมีความเบิกบานอยู่ในตัวของมันเอง
890.221 -> เพราะฉะนั้นจะคำว่าพุทโธ
893.241 -> คือคำว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
896.741 -> ก็คือจิตใจที่เป็นกุศลของเรานี้ล่ะ
900.411 -> รู้เนื้อรู้ตัว
903.181 -> พอจิตใจรู้เนื้อรู้ตัวแล้ว
905.281 -> ก็มี 2 กลุ่ม
907.291 -> กลุ่มหนึ่งเดินปัญญาได้
908.981 -> อีกกลุ่มหนึ่งพอใจที่จะรู้อยู่เฉยๆ
912.981 -> เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นกุศล
914.971 -> รู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา มีสติ
918.971 -> ก็ยังมี 2 กลุ่ม
920.681 -> พวกหนึ่งเดินปัญญา พวกหนึ่งอยู่เฉยๆ
924.211 -> เราก็ค่อยเรียน
925.931 -> เห็นความปรุงแต่งที่ประณีตๆ เข้าไปเรื่อยๆ
929.931 -> จากปรุงหยาบมาปรุงละเอียด
933.931 -> จากปรุงชั่วมาปรุงดี
936.761 -> แล้วก็ดีมากขึ้นๆ
939.371 -> เฉลียวฉลาดมากขึ้น
942.711 -> สิ่งที่ดีที่สุดในความปรุงแต่ง
946.181 -> สิ่งที่เลิศที่สุดในความปรุงแต่ง
949.231 -> คืออะไรรู้หรือเปล่า
952.111 -> ปัญญา
953.991 -> ปัญญาคือยอดเลยของความปรุงแต่งทั้งหลาย
961.291 -> ปัญญานั้นรู้เหตุรู้ผลๆ
967.521 -> เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
970.272 -> เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี
973.302 -> รู้เหตุรู้ผล
976.612 -> เวลาภาวนาบางทีรู้ตัวอยู่เฉยๆ
979.532 -> ยังใช้ไม่ได้
981.222 -> ดีเหมือนกัน ปรุงดี
984.872 -> แต่ยังดีไม่ถึงที่สุด
987.682 -> ปรุงดีให้ถึงที่สุด
989.592 -> ต้องเป็นจิตที่ประกอบด้วยปัญญา
993.422 -> เห็นสภาวะทั้งหลาย
995.552 -> มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้
999.919 -> สภาวะทั้งหลาย
1001.839 -> เห็นไหม มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ
1004.789 -> มันแสดงอนิจจัง บังคับไม่ได้
1008.319 -> การที่มันเกิดจากเหตุและมันดับเพราะเหตุดับ
1012.119 -> นั่นล่ะมันสอนอนัตตาเรา
1015.769 -> ฉะนั้นปัญญาจะช่วยให้เราเห็น
1018.919 -> ไตรลักษณ์ของความปรุงแต่ง
1022.644 -> ถึงจุดหนึ่งจิตก็จะพ้นจากความปรุงแต่งได้
1026.644 -> ถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา
1030.644 -> แต่ปัญญาเกิดขึ้นก็อาศัยศีล
1035.104 -> อาศัยสมาธิ อาศัยสติ
1037.644 -> อาศัยองค์ธรรมที่ดี
1039.224 -> เราพัฒนาขึ้นมา
1041.344 -> เบื้องต้นตั้งใจรักษาศีล
1045.344 -> ฝึกสมาธิ ฝึกสติ
1050.064 -> สามารถฝึกควบไปได้เลย
1053.504 -> โดยการทำสติปัฏฐานที่ถูกต้อง
1057.504 -> มีวิหารธรรมไว้สักอย่างหนึ่งที่เราถนัด
1061.884 -> เป็นรูปธรรม หรือเป็นนามธรรมก็ได้
1064.554 -> เอาที่ตัวเองถนัด
1067.624 -> แล้วก็มีสติรู้ความเคลื่อนไหว
1071.194 -> เปลี่ยนแปลงของจิตใจตัวเองไป
1075.194 -> อย่างเราหายใจออกหายใจเข้า
1077.794 -> เป็นบ้านของจิต เป็นวิหารธรรม
1080.924 -> อย่างจิตมันหนีไป
1082.564 -> ปรุงแต่ง ไปคิด นึก ปรุงแต่ง
1084.634 -> รู้ทันมัน
1087.694 -> จิตก็จะมีสติเป็นตัวรู้ทัน
1091.454 -> แล้วทันทีที่รู้ทัน
1093.264 -> ความตั้งมั่นคือตัวสมาธิ
1095.304 -> ก็จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันนั้นเลย
1099.779 -> ฉะนั้นทำสติปัฏฐานไว้
1102.129 -> มีวิหารธรรม
1104.449 -> มีสติระลึกรู้
1106.979 -> เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นในจิตใจนั่นล่ะ
1109.989 -> ความปรุงแต่งมันเกิดแล้ว
1113.239 -> อย่างจิตมันเที่ยวแสวงหา
1115.779 -> นั่งหายใจเข้าพุทออกโธ
1118.749 -> เดี๋ยวจิตมันก็ส่ายๆ อยู่ข้างใน
1121.259 -> เริ่มปรุงแต่งแล้ว
1123.209 -> ส่ายๆ แล้วก็ส่งออกไป ดูทางนี้ๆๆ
1127.72 -> จิตมันดิ้นรนปรุงแต่งแล้ว
1131.34 -> ไปเจออันนี้เข้า
1133.34 -> เกิดพอใจ ปรุงพอใจขึ้นมา
1136.103 -> นี่ก็ปรุงแต่งแล้ว
1138.113 -> ปรุงๆๆ ไปเรื่อยๆ ทั้งวันไม่เคยหยุดเลย
1142.683 -> เราอาศัยการปฏิบัติ เจริญสติปัฏฐาน
1148.143 -> มีเครื่องอยู่ของจิต
1150.203 -> แล้วระลึกรู้จิตที่เปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ
1153.783 -> เราจะเห็นเลยว่า
1155.323 -> ทั้งๆ ที่เราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธอยู่
1159.693 -> ประเดี๋ยวเดียวก็หนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว
1162.823 -> ไปปรุงแต่งความฟุ้งซ่านขึ้นมา
1165.573 -> หลงไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้
1169.183 -> เพราะฉะนั้นการที่เราภาวนา
1171.263 -> เรามีวิหารธรรม แล้วจิตใจมันทำงาน
1175.263 -> แล้วเรามีสติรู้
1177.163 -> เราจะรู้ทันความปรุงแต่ง
1182.111 -> เราจะรู้เลยว่าความปรุงแต่ง
1184.591 -> ไม่ว่ามันจะปรุงดีหรือปรุงชั่ว
1187.611 -> หรือพยายามจะไม่ปรุง
1189.601 -> พยายามจะไม่ปรุงก็เป็นความปรุง
1192.451 -> พยายามปรุงความไม่ปรุง
1195.471 -> เรียก อเนญชาภิสังขาร พยายามไม่ปรุง
1199.471 -> ดีก็จะไม่เอา ชั่วก็จะไม่เอา
1201.771 -> จะไม่เอาอะไรเลย
1204.761 -> จิตก็จะไปหลงว่างๆ ไป
1208.451 -> นี่ก็ปรุง
1210.791 -> พอเรามีสติระลึกรู้เรื่อยๆ
1213.261 -> จิตใจเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่
1216.181 -> เพราะทรงสมาธิที่ถูกต้อง
1219.701 -> พอมีอะไรเกิดขึ้นในจิตในใจ
1222.351 -> ความปรุงแต่งใดๆ เกิดขึ้น
1225.191 -> สติเป็นตัวรู้ทัน
1228.281 -> ต่อไปพอรู้ทันบ่อยๆ เข้า
1230.881 -> มันจะเกิดปัญญา
1233.231 -> ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ
1236.081 -> สติเป็นตัวรู้ทัน ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ
1240.393 -> อย่างทีแรกเราก็อาศัยสติ
1243.213 -> รู้จิตเดี๋ยวมันก็ไปปรุงดี
1246.223 -> จิตเดี๋ยวมันก็ไปปรุงชั่ว
1248.293 -> สารพัดจะปรุงเลย
1251.143 -> ดูซ้ำแล้วซ้ำอีกไปช่วงหนึ่ง
1253.833 -> มันก็เกิดความเข้าใจขึ้นมา
1257.203 -> เออ จิตนี้มันไม่หยุดปรุงแต่งหรอก
1259.783 -> มันปรุงแต่งได้เอง
1261.393 -> จิตนี้มันเป็นอนัตตา
1265.143 -> หรือเดี๋ยวมันก็เห็น
1266.563 -> เดี๋ยวมันก็ปรุงดี เดี๋ยวมันก็ปรุงชั่ว
1268.955 -> เดี๋ยวพยายามจะไม่ปรุง
1271.675 -> ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก
1273.665 -> ถึงจุดหนึ่งปัญญาก็เกิด
1276.465 -> ก็เข้าใจจิตนี้มีแต่ความไม่เที่ยง
1280.465 -> เดี๋ยวก็ปรุงดี เดี๋ยวก็ปรุงชั่ว
1282.605 -> เดี๋ยวพยายามจะไม่ปรุง
1286.605 -> ฉะนั้นเราก็อาศัยการเจริญสติปัฏฐานนี้ล่ะ
1290.605 -> มีวิหารธรรมที่เราอยู่ด้วยแล้วสติเกิดบ่อยๆ
1296.445 -> เอาอันนั้นล่ะ
1299.395 -> อยู่กับวิหารธรรมไป
1300.935 -> เช่น หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
1304.645 -> พอจิตมันหนีไปปรุงแต่ง
1306.575 -> สติเป็นตัวรู้ทัน
1309.385 -> พอเห็นบ่อยๆ รู้บ่อยๆ
1311.885 -> สติก็ยิ่งเกิดเร็วขึ้นๆ
1315.235 -> แต่ก่อนนี้ไม่เคยรู้ทันสภาวะ
1320.115 -> ต่อมาเรารู้ทัน จิตปรุงความโกรธ
1324.875 -> พอเรารู้ว่ามันปรุงความโกรธ
1327.035 -> ต่อไปพอมันปรุงความโลภ
1328.705 -> ปรุงความหลง ปรุงสุข ปรุงทุกข์
1331.315 -> ปรุงอย่างโน้นปรุงอย่างนี้
1332.955 -> มันก็ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ รู้ไปเรื่อย
1336.255 -> สติของเราก็จะว่องไวขึ้นเรื่อยๆ
1338.395 -> มันปรุงท่าไหนก็รู้ทันหมดเลย
1341.145 -> ฉะนั้นตัวที่รู้ทันคือตัวสตินั่นล่ะ
1343.655 -> หัดรู้บ่อยๆ แล้วมันก็จะรู้ทันได้มากขึ้นๆ
1349.197 -> แต่อย่าลืมว่าจิตต้องตั้งมั่น
1351.997 -> จิตต้องตั้งมั่น เป็นแค่คนดู
1355.167 -> จะเห็นความปรุงแต่งมันเกิดขึ้น
1357.558 -> จิตเป็นแค่คนดู
1359.608 -> ความปรุงแต่งนั้นขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
1362.208 -> ปรุงแต่งไป สติเป็นตัวรู้
1365.198 -> จิตตั้งมั่นมีสมาธิ เป็นผู้รู้ผู้ดู
1369.599 -> ดูซ้ำๆๆ ไป
1372.719 -> ถึงจุดหนึ่งปัญญาจะเกิดขึ้นเอง
1376.199 -> ปัญญาจะเกิดขึ้นเอง ไม่ใช่การคิด
1379.699 -> ถ้านั่งคิดเอา ยังไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง
1383.359 -> เป็นปัญญาเบื้องต้น
1385.299 -> ปัญญาจากการฟัง การอ่านการคิด
1387.949 -> มันเป็นปัญญาขั้นต้นเท่านั้นเอง
1390.209 -> แต่ถ้าเราลงมือภาวนา ลงมือปฏิบัติ
1392.989 -> เจริญสติปัฏฐานจริงๆ แล้ว
1395.239 -> ไม่ต้องมานั่งคิดหรอก
1397.769 -> มีสติรู้สภาวะทั้งหลาย
1400.489 -> ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางไป
1403.479 -> ถึงจุดหนึ่งปัญญามันเกิดเอง
1405.569 -> คือความเข้าใจมันจะเกิดขึ้น
1409.569 -> ฉะนั้นสติเป็นตัวรู้ทัน
1411.449 -> ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ
1414.789 -> เข้าใจอะไร เข้าใจไตรลักษณ์
1418.329 -> มันจะเข้าใจไตรลักษณ์ขึ้นมา
1421.219 -> อย่างมันเห็นจิตปรุงดีบ้าง ปรุงชั่วบ้าง
1425.246 -> ปรุงสุขบ้าง ปรุงทุกข์บ้าง
1427.926 -> สติมันรู้ไปทีละช็อตๆ
1430.456 -> สติรู้ทีละช็อตเท่านั้นเอง
1433.676 -> แต่รู้ซ้ำๆๆ ไปเรื่อยๆ
1437.246 -> ถึงจุดหนึ่งปัญญามันเข้าใจ
1439.136 -> เข้าใจในพริบตาเดียว
1441.536 -> เข้าใจในพริบตาเดียวเท่านั้นเอง
1445.536 -> เวลาเข้าใจ มันเข้าใจภาพรวม
1448.316 -> โอ้ จิตทุกชนิดนี้ไม่เที่ยง
1450.936 -> จิตทุกชนิดนี้เป็นอนัตตา
1454.236 -> มันจะเข้าใจอย่างนี้
1456.536 -> ฉะนั้นเวลาปัญญาที่แท้จริงมันเกิด
1460.166 -> มันเกิดในพริบตาเดียวล่ะ
1462.886 -> ไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์อะไร
1464.796 -> อย่างสมมติว่า
เราไปอ่านหนังสืออะไรสักอย่างหนึ่ง
1467.496 -> หรือวิชาการอะไร ฟังเลกเชอร์
1470.706 -> ฟังแล้วไม่รู้เรื่องเลย
1473.376 -> หรือฟังหลวงพ่อเทศน์ ฟังไม่รู้เรื่องเลย
1477.136 -> แต่ฟังมาหลายปีแล้ว
1479.252 -> บทจะเข้าใจ บทปัญญามันจะเกิด
1481.752 -> มันปิ๊งขึ้นมาเลย
1483.122 -> อ๋อ อย่างนี้เอง มันอ๋อเลย
1485.632 -> มันอ๋อ อย่างนี้เอง
1489.092 -> บางคนยิ่งกว่าอ๋ออีก
1492.282 -> บางคนจิตอุทานเลย
1494.262 -> เอ๊ะ อย่างนี้เลยหรือ อย่างนี้ก็มี
1499.702 -> เพราะฉะนั้นเวลาที่ปัญญาเกิด
1501.822 -> มันเกิดในพริบตาเดียว
1504.102 -> เราอ่านหนังสือที่ยากๆ
1506.202 -> หรือฟังอะไรยากๆ
1508.262 -> รอบที่หนึ่งไม่รู้เรื่อง
1509.792 -> รอบที่สองไม่รู้เรื่อง
1511.342 -> รอบที่สิบไม่รู้เรื่อง
1513.022 -> รอบที่ร้อยเกิดรู้เรื่อง
1514.842 -> เวลารู้เรื่องรู้ในฉับพลันเลย
1517.712 -> รู้ในพริบตาเดียว
1521.462 -> ฉะนั้นเวลาปัญญาเกิด ไม่เกิดยาวหรอก
1525.172 -> เกิดแป๊บเดียวเท่านั้นเอง
1529.172 -> จิตก็เข้าถึงความหลุดพ้นได้
1531.832 -> เข้าถึงความบริสุทธิ์เป็นลำดับๆ ไป
1535.572 -> เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี
1538.835 -> เป็นพระอรหันต์อะไรไป
1543.925 -> อย่างถ้าเราทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
1547.035 -> เราคอยดูความปรุงแต่งของจิตไปเรื่อยๆ
1551.219 -> เราก็จะรู้ว่าความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง
1555.679 -> มันคือภพนั่นเอง
1557.599 -> ความปรุงแต่งนั้นเป็นที่อาศัยของจิต
1561.905 -> ความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง
เป็นทุกข์ทั้งสิ้น
1566.775 -> ปรุงชั่วก็ทุกข์ ปรุงดีก็ทุกข์
1570.305 -> พยายามจะไม่ปรุงก็ทุกข์
1573.765 -> จิตมันรู้แจ้งแทงตลอด
1576.235 -> จิตมันจะวาง
1579.435 -> เมื่อไรจิตมันเห็นทุกข์
1581.489 -> จิตมันก็จะวาง
1583.929 -> เหมือนเราเด็กๆ
1586.169 -> สมัยก่อนที่บ้านหุงข้าวด้วยฟืน
1591.409 -> หรือด้วยถ่านหุงข้าวอะไรอย่างนี้
1595.609 -> ไฟมันสวย เปลวไฟเวลามันลุกมันสวย
1599.609 -> บางคนชอบดูไฟ
1605.189 -> ผู้ใหญ่บอกอย่าไปโดนมัน
1608.519 -> เดี๋ยวมือพองอะไรอย่างนี้
1611.249 -> พอผู้ใหญ่เผลอ
1612.459 -> ลองไปจับดูเพราะมันสวย
1614.639 -> มันถูกใจ มันอยากได้
1617.829 -> อยากได้ก็หยิบมา
1619.999 -> ไปจับเข้า มันร้อน
1622.939 -> พอรู้ว่ามันร้อน
1624.589 -> ต่อไปเรียกให้จับ มันก็ไม่จับแล้ว
1629.009 -> ถ้าจิตมันฉลาด
1630.649 -> มันรู้ว่าความปรุงแต่งทั้งหลายเป็นของร้อน
1635.069 -> ไม่ใช่ของดีของวิเศษหรอก
1637.399 -> เป็นตัวทุกข์
1639.009 -> หยิบขึ้นมาทีไร ความทุกข์เกิดขึ้นทุกที
1642.209 -> จิตมันจะวางเอง
1644.609 -> เรียกให้จับมันยังไม่จับเลย
1647.309 -> อย่างถ้าเราภาวนาไปถึงจุดหนึ่ง
1649.819 -> เราจะพบว่า
จิตเราจะเที่ยวจับโน้นจับนี้ตลอดเวลา
1654.639 -> เดี๋ยวก็ไปจับเรื่องนี้ๆ
1656.989 -> เดี๋ยวไปจับรูป จับเสียง จับกลิ่น จับรส
1659.419 -> จับโผฏฐัพพะ จับธรรมารมณ์
1662.489 -> จิตวิ่งไปจับโน้นจับนี้ตลอดเลย
1666.129 -> ภาวนาไปถึงจุดหนึ่ง
1667.959 -> มันรู้เลยไม่ว่าหยิบฉวยอะไรขึ้นมา
1669.989 -> อันนั้นก็คือทุกข์ทั้งสิ้น
1671.599 -> คือภาระทั้งสิ้น
1673.759 -> จิตมันก็ไม่ไปหยิบขึ้นมาอีก
1676.319 -> มันก็เป็นของมันเอง
1678.609 -> พอปัญญามันเกิด
1680.119 -> มันรู้แล้วว่า
1681.619 -> ความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง
1683.409 -> ไม่มีอย่างอื่นหรอก มีแต่ทุกข์
1685.839 -> ทุกข์เพราะมันไม่เที่ยง
1687.479 -> ทุกข์เพราะมันทนอยู่ไม่ได้
1689.609 -> ทุกข์เพราะว่ามันบังคับไม่ได้
1691.939 -> ควบคุมไม่ได้จริง
1693.669 -> สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุ
1695.589 -> ไม่ใช่ตามที่เราจงใจบังคับ
1698.259 -> นี่เรียกว่าปัญญา
1700.779 -> ปัญญาเกิดปุ๊บ มันจะวางทันทีเลย
1704.149 -> จะไม่ไปหยิบฉวยแล้วสิ่งนี้
1706.129 -> เพราะเรารู้แจ้งแล้ว
1709.919 -> ฉะนั้นบางทีในตำราเขาสอนว่า
1713.329 -> สตินี้เป็นตัวจับ
1716.209 -> ปัญญาเป็นตัวตัด
1719.949 -> มันจับคืออารมณ์อะไรเกิดขึ้น
1723.199 -> ความปรุงแต่งอะไรเกิดขึ้น
1724.939 -> มันรู้ทัน
1726.549 -> คล้ายๆ มันจับ จับอะไร
1728.409 -> จับตามอง
1729.769 -> เห็นแล้ว ไม่ได้เอาไปจับจริงๆ
1732.439 -> มันแค่จับตามอง
1734.119 -> สติมันจับอารมณ์ขึ้นมาแล้ว
1736.979 -> อะไรแปลกปลอมเข้ามาสติจับได้
1741.349 -> รู้
1742.849 -> ดูไปเรื่อยๆ ความปรุงแต่ง
1745.379 -> สุดท้ายปัญญาเกิด
1747.889 -> ความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงมีแต่ทุกข์
1750.209 -> ไม่มีอะไรหรอก
1751.569 -> นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
1753.129 -> นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่
1755.179 -> นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป
1759.289 -> พอปัญญามันเกิด มันจะตัด
1763.559 -> มันจะไม่ไปหยิบไปฉวยสิ่งนี้อีกต่อไปแล้ว
1766.599 -> อันไหนที่รู้แจ้งแล้วก็จะวางแล้ว
1768.689 -> ไม่เอาอีกแล้ว
1771.459 -> ฉะนั้นในตำราเขาสอนก็ถูกว่า
1774.559 -> สติเป็นตัวจับ ปัญญาเป็นตัวตัด
1778.139 -> มันทำหน้าที่อย่างไร
1780.369 -> สติเป็นตัวรู้ทัน ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ
1783.759 -> พอเข้าใจปุ๊บตัดปั๊บเลย
1787.279 -> ค่อยภาวนาถึงจุดหนึ่งเราจะพบว่า
1791.579 -> ความปรุงแต่งทั้งหลายคือทุกข์
1794.929 -> พอรู้แล้ว ปัญญามันแก่รอบ
1797.299 -> มันก็ไม่เอาแล้วความปรุงแต่ง
1800.319 -> จะปรุงชั่ว จะปรุงดี หรือพยายามจะไม่ปรุง
1803.749 -> มันก็คือปรุง ก็คือทุกข์ทั้งหมด
1810.289 -> พอจิตมันพ้นจากความปรุงแต่ง
1814.009 -> มันก็เข้าถึงความสุข
ที่อยู่เหนือความปรุงแต่ง
1818.789 -> ความสุขของความสงบ
1821.709 -> ความสุขของการพ้นความเสียดแทงทั้งหลาย
1825.709 -> ความสุขของการไม่มีภาระของใจ
1829.709 -> ใจมันมีความสุขขึ้นมา
1832.689 -> อย่างเวลาเราไปงานศพ
1835.209 -> เวลาพระชักบังสุกุล
1838.359 -> สวด “อนิจจา วตสังขารา
อุปปาทวยธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ”
1845.542 -> ปัชชิตวา นิรุชชันติ สิ่งที่เกิดล้วนแต่ดับ
1850.992 -> นิรุชชันติ มันดับ
1856.852 -> แล้ววรรคสุดท้าย “เตสังวูปสโม สุโข”
1861.817 -> สังขารคือความปรุงแต่งทั้งหลาย
ดับเสียได้เป็นสุข
1872.114 -> เราภาวนา เราค่อยรู้ทันสังขารไป
1876.504 -> สังขารคือความปรุงของจิต
1880.194 -> ถ้าเราไม่รู้ทัน
1882.184 -> มันจะครอบงำความคิด คำพูด การกระทำ
1889.698 -> คนชั่วมันก็มีความคิดชั่ว
1892.708 -> คำพูดชั่ว การกระทำชั่ว
1896.488 -> มันปรุงดีขึ้นมา
1898.478 -> มันก็วางฟอร์มให้ดูดี
1902.228 -> วางฟอร์มให้คนอื่นเขาเห็นว่าเรานี้ดีๆ
1906.228 -> แล้วตัวเองก็เชื่อว่าอย่างนี้ก็ดี วางฟอร์ม
1911.218 -> ถ้ารู้ว่าทุกอย่างนี้
1913.078 -> มันความปรุงแต่งทั้งหมด
1915.124 -> เป็นทุกข์ทั้งหมด
1917.134 -> จิตมันก็เลิกปรุงแต่ง
1920.224 -> ความปรุงแต่งยังมีไหม มี
1922.564 -> แต่เข้าไม่ถึงจิตอีกต่อไปแล้ว
1925.244 -> จิตไม่ไปหยิบฉวยขึ้นมาอีกแล้ว
1927.094 -> เพราะปัญญามันตัดไปแล้ว
1929.284 -> มันตัดการเชื่อมต่อ
1932.244 -> ระหว่างจิตกับความปรุงแต่ง
1934.344 -> มันขาดสะบั้นออกจากกัน
1937.054 -> จิตก็เข้าถึงสภาวะที่ไม่ปรุงแต่ง
คือพระนิพพาน
1945.034 -> ฝึก รู้ทันความปรุงแต่งของจิตไปเรื่อยๆ
1950.574 -> มันปรุงสุขก็รู้ ปรุงทุกข์ก็รู้
1954.184 -> ปรุงโลภ โกรธ หลงก็รู้
1956.724 -> ปรุงวางฟอร์มเป็นคนดีก็รู้
1959.274 -> ปรุงเป็นนักปฏิบัติก็รู้
1962.094 -> อย่างเป็นนักปฏิบัติเห็นไหม
1963.894 -> จะเดินต้องเดินไม่เหมือนชาวบ้าน
1965.954 -> ต้องค่อยๆ ยกขาย่างเท้าอะไรอย่างนี้
1969.634 -> ให้มันไม่เหมือนคน
1971.304 -> ไม่เหมือนคนธรรมดา ไม่ใช่ไม่เหมือนคน
1973.664 -> เดี๋ยวว่าหยาบคาย
1975.384 -> ไม่เหมือนคนธรรมดา
1978.134 -> คนธรรมดาคือใคร
1979.754 -> ก็ตัวเองนั่นล่ะ
1981.304 -> มีความเป็นธรรมดาอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว
1984.194 -> แต่เอาความปรุงแต่งไปครอบเสีย
1986.104 -> จนกระทั่งความเป็นธรรมดาของตัวเองหายไป
1990.344 -> พอไม่ปรุงแต่ง
1992.014 -> ความเป็นธรรมดาของตัวเองก็ปรากฏขึ้นมา
1994.714 -> ธรรมดาของกายก็เป็นอย่างนี้ล่ะ
1998.214 -> มันเป็นอย่างนี้ล่ะ
1999.754 -> ธรรมดาของจิตมันก็เป็นอย่างนี้ล่ะ
2007.278 -> ยากไปหรือเปล่า
2010.658 -> เห็นนั่งกันซื่อบื้อไปเลย
2017.808 -> อ่านใจตัวเองให้ออก
2021.208 -> ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
2023.678 -> นั่นคือมีวิหารธรรม
2026.198 -> ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
2029.728 -> แล้วก็คอยรู้ทันเวลามีอะไรเปลี่ยนแปลง
2035.678 -> ความเปลี่ยนแปลงในกายก็ได้ ในใจก็ได้
2040.658 -> ร่างกายก็เป็นสังขารส่วนรูปธรรม
2045.028 -> จิตใจก็มีสังขารส่วนนามธรรม
2051.733 -> ถ้าจะดูเข้ามาที่จิตที่ใจ
2054.484 -> ก็ดูนามธรรมไป
2055.894 -> ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก
2058.234 -> บางคนว่านามธรรมยาก
2060.134 -> ยากอะไร
2062.984 -> ตอนนี้กำลังสุขรู้ไหม
2064.764 -> ตอนนี้กำลังทุกข์รู้ไหม
2066.754 -> ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย
2069.294 -> ดูกายก็ไม่เห็นมันจะยากตรงไหนเลย
2071.394 -> ตอนนี้หายใจออก ตอนนี้หายใจเข้า
2074.014 -> ตอนนี้ยืน เดิน นั่ง นอน
2076.214 -> มันยากเสียที่ไหน
2079.114 -> ฉะนั้นจริงๆ ไม่ได้มีอะไรยากสักอย่าง
2082.334 -> มันยากตรงที่ขี้เกียจภาวนา
2085.664 -> อันแรกเลยไม่รู้หลัก ยากมาก
2089.774 -> รู้หลักเรียนตำรามา
2091.904 -> ตำราถูก แต่ตีความผิด
2095.024 -> ตีความแล้วก็คือไปปรุงแต่งตลอดนั่นล่ะ
2101.225 -> เฝ้ารู้ พัฒนา มีเครื่องอยู่
2106.796 -> แล้วพอเกิดอะไรเปลี่ยนแปลงในกายในใจ
2112.598 -> วันนี้ที่เน้น คือเน้นที่ใจ
2115.348 -> มีอะไรเกิดเปลี่ยนแปลงในใจเรา
2117.378 -> รู้ทันไป
2120.738 -> เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไปทางดี
2122.478 -> เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปทางชั่ว
2124.418 -> เดี๋ยวก็ปรุงดี เดี๋ยวก็ปรุงชั่ว
2126.638 -> รู้ไปเรื่อย
2128.188 -> สติเป็นตัวรู้
2130.158 -> อะไรเกิดขึ้นก็รู้ๆ
2133.648 -> จิตตั้งมั่น มีสมาธิ
2137.648 -> เป็นคนรู้เฉยๆ ไม่เข้าไปแทรกแซง
2141.648 -> รู้ซื่อๆ รู้ธรรมดาๆ ไม่เข้าไปแทรกแซง
2148.668 -> รู้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
2150.548 -> สุดท้ายปัญญามันจะเกิดในพริบตาเดียว
2153.568 -> เข้าใจ ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ
2156.178 -> พอเข้าใจปุ๊บตัดปั๊บเลย
2158.018 -> วางทันทีเลย
2159.808 -> ความปรุงแต่งอันนั้น
หลอกเราไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
2165.718 -> ไปทำเอา อยากได้ของดีต้องทำเอา
2171.038 -> ไปขอใครก็ไม่ได้หรอก
2173.128 -> บางคนจะมาขอหลวงพ่อ
2176.138 -> เอาผ้าไตรมาถวายแล้วก็อธิษฐาน
2179.078 -> ธรรมใดที่หลวงพ่อรู้แล้ว ขอให้ผมรู้ด้วย
2184.148 -> หลวงพ่อก็เลยให้พร
2188.688 -> อันไหนที่หลวงพ่อปฏิบัติแล้ว
2191.118 -> เราก็ปฏิบัติด้วยก็แล้วกัน
2194.588 -> อยากรู้สิ่งที่หลวงพ่อรู้
2197.268 -> ก็ทำเหตุอย่างที่หลวงพ่อทำก็แล้วกัน
2201.698 -> ค่อยๆ ทำไป
2204.088 -> เราก็จะค่อยๆ ทุกข์น้อยลงๆ
2207.518 -> ทุกข์สั้นลงๆ เห็นด้วยตัวเองได้
2211.738 -> หรืออย่างเวลาจิตมันตื่นขึ้นมาครั้งแรก
2214.498 -> เราจะรู้เลย ตลอดชีวิตนี้ไม่เคยตื่นเลย
2218.208 -> ตลอดชีวิตหลับฝันตลอดเวลา
2220.618 -> ตัวฝันนั่นล่ะ ตัวปรุงแต่ง ตัวสังขารล่ะ
2225.078 -> เดี๋ยวก็ฝันเป็นคนดี
2226.818 -> เดี๋ยวก็ฝันเป็นผู้ร้ายอะไรอย่างนี้
2229.377 -> ใจมันปรุงแต่งทั้งนั้น
2232.537 -> ค่อยรู้ค่อยดู
2234.287 -> วันหนึ่งก็จะพ้นจากความปรุงแต่ง
2237.267 -> พ้นจากความปรุงแต่งแล้ว
2238.977 -> ความปรุงแต่งยังมีไหม
2241.017 -> ถ้ายังมีขันธ์ก็ยังมีสังขารอยู่
2244.659 -> อย่าไปวาดภาพพระอรหันต์ว่าไม่มีสังขาร
2249.659 -> ประสาทแล้ว
2251.489 -> ขันธ์ยังอยู่ สังขารขันธ์ก็ต้องมี
2256.919 -> แต่ว่าจิตต่างหากที่มันพ้นจากความปรุงแต่ง
2261.849 -> ไม่ใช่ไม่มีความปรุงแต่ง
2264.959 -> จนถึงวาระที่ขันธ์แตกดับนั่นล่ะ
2267.823 -> ถึงหมดความปรุงแต่งจริงๆ
2273.803 -> วันนี้เทศน์เท่านี้
2276.353 -> แค่นี้ก็ยากแล้ว
2279.283 -> ถ้าทำได้ ก็จะได้ของดีล่ะ
2284.213 -> ใช้เวลาไม่มากหรอก ค่อยๆ ดู
2288.213 -> พวกที่ใช้เวลาเรียนนานๆ
2291.963 -> เพราะมันมองความปรุงแต่งไม่ออก
2294.713 -> ไปตั้งหน้าตั้งตาปรุงแต่ง
2296.673 -> ปรุงดีไปเรื่อยๆ
2298.773 -> มันก็ไม่ได้อะไรหรอก ก็ได้ความทุกข์ไป
2301.543 -> ทุกข์ของคนดี
2304.683 -> ภาวนาถูกหลักถูกเกณฑ์
2307.003 -> จิตตั้งมั่น
2308.013 -> สติรู้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
2312.715 -> ต่อไปปัญญาคือความเข้าใจก็เกิด
2315.405 -> เท่านี้ล่ะ
2317.315 -> แล้วจิตมันก็วางเองล่ะ
2321.315 -> เข้าใจรูปก็วางรูป
2323.665 -> เข้าใจนามก็วางนาม
2325.565 -> เข้าใจจิตก็วางจิต
2330.425 -> ต่อไปส่งการบ้าน
2333.365 -> เบอร์ 1 คิดมากไป
2338.345 -> พอรู้ว่าคิดมากก็อย่าไปบังคับมัน
2344.555 -> หมายเลข1 : ฝึกในรูปแบบทุกวัน
2348.795 -> เวลารู้ว่าเผลอไปฟุ้งซ่านกับเรื่องราว
2352.495 -> ก็จะกลับมาที่เบสิก
2354.745 -> คือถ้านั่งสมาธิ ก็จะดูกายนั่งตั้งตรง
2358.745 -> ดูกายหายใจ
2360.595 -> ถ้าเดินจงกรม ก็จะดูกายมันเดิน
2364.185 -> จิตไม่มีกำลังจะเดินปัญญา
2366.605 -> ยังดูไม่ออกว่า
2368.335 -> อย่าให้จิตติดนิ่งติดว่างเป็นอย่างไร
2371.315 -> ขอหลวงพ่อช่วยชี้แนะครับ
2385.711 -> เห็นไหมว่าร่างกายมันถูกรู้ถูกดู
2391.501 -> นั่นล่ะการเดินปัญญา
2394.951 -> จุดแรกเลยของการเดินปัญญา
2398.491 -> ร่างกายกับจิตมันคนละอันกัน
2402.181 -> ร่างกายมันของถูกรู้
2405.241 -> แล้วมันก็แสดงไตรลักษณ์อยู่ตลอด
2408.561 -> เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
2410.151 -> เดี๋ยวก็หายใจออก เดี๋ยวก็หายใจเข้า
2413.611 -> นี่คือการเดินปัญญา
2428.711 -> จิตที่มันติดนิ่งติดว่าง
2431.251 -> ถ้าติดนิ่งติดว่างด้วยการบังคับไว้
2433.791 -> มันจะมีน้ำหนักขึ้นมา มันจะแน่นๆ
2437.791 -> ถ้าติดนิ่งติดว่างแบบประณีตหน่อย
2440.781 -> อย่างติดในอรูป ใจว่างๆ
2444.181 -> มันจะไม่ยอมเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรหรอก
2447.929 -> มันจะยินดี มันจะพอใจในความสุข
2450.799 -> ในความสงบเฉยๆ อยู่อย่างนั้น
2453.629 -> ไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็น
2456.239 -> ทุกอย่างมันทุกข์ทั้งหมดเลย
2458.109 -> ไม่อยากสนใจมัน
2460.139 -> อยู่เฉยๆ สบายกว่า
2462.439 -> พวกนี้ติดว่าง ติดนิ่ง ติดความสงบ
2467.629 -> ค่อยสังเกตเอา
2471.629 -> ถ้าตรงที่เราไปบังคับ มันจะแน่น
2476.459 -> ตรงที่มันไปติดโล่งๆ ว่างๆ ขี้เกียจขี้คร้าน
2481.579 -> ไม่สนใจที่จะเจริญปัญญา
2484.269 -> อันนั้นล่ะมันติดนิ่ง
2487.349 -> หลวงพ่อเคยติด
2489.659 -> เคยติดอยู่เป็นปีเลย
2492.269 -> ภาวนาแล้วเห็นกิเลสมันผุดขึ้นมา
2495.629 -> กิเลสที่เห็นบ่อยก็โทสะล่ะ
2497.809 -> เพราะพื้นเป็นคนขี้โมโห
2500.519 -> โทสะมันผุดขึ้นมาก็รู้มัน
2505.409 -> ทีแรกรู้แบบสติคมมากเลย
2508.53 -> รู้แล้วขาดปั๊บๆ
2511.57 -> ทีนี้กำลังของสมาธิมันตก
2515.9 -> พอสมาธิไม่พอ ปัญญาจะไม่เกิด
2519.27 -> จำไว้เลย
2520.73 -> ปัญญามีสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิด
2524.29 -> ฉะนั้นถ้าเราทิ้งสมถะไป
2527.77 -> กำลังสมาธิไม่พอ
2529.53 -> ดูแล้วไม่ขาดแล้วคราวนี้
2532.19 -> ตัวโทสะมันเคลื่อนออกไป
2534.62 -> เคลื่อนไปข้างหน้า
2537.19 -> สติตามมันไปเรื่อย ตามไป
2541.55 -> แต่ไม่เห็นว่าจิตเคลื่อนไปแล้ว
2544.81 -> เสร็จแล้วโทสะนั้นดับไป
2547.62 -> จิตก็ว่างเลย
2550.28 -> ว่างแล้วเราไม่รู้ว่า
จิตไม่ได้อยู่ที่ฐานแล้ว
2554.28 -> มันไปว่างอยู่ข้างนอก
2557.05 -> ตรงนั้นกิเลสก็ไม่มี
2559.54 -> มีแต่ความสุข มีแต่ความสงบ
2562.82 -> ดูดี
2564.25 -> จนกระทั่งวันหนึ่งสังเกต
2566.6 -> พระพุทธเจ้าสอนว่าจิตไม่เที่ยง
2569.27 -> ทำไมจิตดวงนี้เที่ยง
2572.27 -> ท่านสอนว่ามันเป็นทุกข์
2573.73 -> ทำไมตัวนี้มีแต่ความสุข
2576.11 -> ท่านสอนว่ามันเป็นอนัตตา
2577.88 -> ทำไมเราบังคับได้
2579.53 -> อยากให้อยู่ตรงนี้นานแค่ไหนก็อยู่ได้
2582.876 -> ต้องมีอะไรผิดแล้ว
2586.576 -> พอดีเจอหลวงตามหาบัว
2588.616 -> ไปถามท่าน ท่านบอกมันไม่เห็นแล้ว
2592.616 -> มันดูไม่ถึงจิต
2594.666 -> ที่ว่าดูจิตนั้นดูไม่ถึงจิต
2596.736 -> ไปติดว่างอยู่ข้างนอก
2599.366 -> เราก็ทำสมาธิกลับเข้ามา
2603.504 -> ทำสมาธิกลับเข้ามา
2605.534 -> แล้วถ้ายินดีพอใจอีก ก็ติดอีก
2609.784 -> เข้าฐานแล้วก็ยังไม่ยอมเดินปัญญาต่อก็มี
2613.494 -> อย่างที่หลวงพ่อสอนเมื่อกี้
2616.254 -> ว่าจิตผู้รู้มันมี 2 แบบ
2618.294 -> แบบหนึ่งมันเดินปัญญา
2619.674 -> แบบหนึ่งมันรู้อยู่เฉยๆ
2622.244 -> ฉะนั้นถ้ามันไปรู้เฉยๆ ไม่ยอมดูไตรลักษณ์
2624.624 -> ไม่ยอมดูกาย ไม่ยอมดูใจ
2627.104 -> อันนี้ติดสมาธิ ติดความสงบ
2631.624 -> สังเกตตัวเองสิ
2632.824 -> มันขี้เกียจดูความเปลี่ยนแปลงไหม
2636.304 -> ถ้าขี้เกียจดูความเปลี่ยนแปลง
2638.334 -> นั่นล่ะ ติดความสงบแล้ว
2641.314 -> ง่ายๆ แค่นี้ล่ะ
2645.314 -> สังเกตไหมว่าจิตมันเปลี่ยนแล้วตอนนี้
2649.314 -> เห็นไหมจิตมันรู้ ตื่น เบิกบานขึ้นมาแล้ว
2651.864 -> มันไม่ใช่เหมือนจิตซื่อบื้อเมื่อกี้แล้ว
2656.744 -> รู้สึกไหม จิตตอนนี้ปรุงดีแล้ว
2659.364 -> เพ่งเสียแน่นเลย รู้สึกไหม
2661.384 -> ความปรุงแต่งเกิดขึ้นอีกแล้ว
2664.004 -> รู้ความปรุงแต่งไปเรื่อยๆ ทีละช็อตๆ
2668.13 -> สติเป็นตัวรู้ทัน
2670.47 -> ปรุงทื่อๆ ขึ้นมาก็รู้ทัน
2673.13 -> ปรุงอะไรก็รู้ไป
2676.05 -> แล้วสุดท้ายปัญญามันก็เกิด
2678.33 -> ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ
2679.9 -> เข้าใจไตรลักษณ์
2681.71 -> เข้าใจปุ๊บวางปั๊บเลย
2686.99 -> หมายเลข 2: สวดมนต์ เดินจงกรม
2691.75 -> ฟังหลวงพ่อเป็นประจำ
2693.87 -> มีเครื่องอยู่คือพุทโธ
2696.19 -> และพยายามรู้สึกตัวในชีวิตประจำวัน
2700.19 -> เวลาไม่พอใจเล็กน้อย
2702.322 -> สามารถรู้สึกถึงใจที่เปลี่ยนไป
2706.322 -> แต่ถ้าโทสะแรง จะตามรู้ไม่ทัน
2710.322 -> ไม่แน่ใจว่าปฏิบัติถูกต้องไหมคะ
2713.752 -> ก็ถูกแล้วล่ะ
2715.862 -> ฝึกบ่อยๆ ให้มันชำนาญ
2718.842 -> ต่อไปไม่ว่าอะไรสักนิดหนึ่งก็เห็นแล้ว
2721.742 -> มีความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ก็เห็น
2725.292 -> ทีแรกก็เห็นหยาบๆ
2727.162 -> ถ้าโทสะแรงๆ ก็จะเห็น
2729.422 -> ถ้าโทสะมันครอบใจเรา ก็ไม่เห็น
2733.952 -> ถ้าความปรุงแต่งมันครอบใจเราได้
2736.832 -> แต่ถ้าเราเห็นความปรุงแต่งก็อันหนึ่ง
2738.772 -> จิตเป็นคนรู้อยู่อันหนึ่ง
2741.392 -> ปัญญามันก็จะเกิดได้
2744.252 -> ที่ทำอยู่ถูกแล้วล่ะ
2747.332 -> ค่อยไปทำต่อเอา
2750.152 -> อย่างขณะนี้จิตมันปรุงความแน่นๆ ขึ้นมา
2752.852 -> รู้สึกไหม
2755.072 -> มันมีความอึดอัดขึ้นมาในใจ
2758.002 -> อย่างนี้ความปรุงแต่งมันเกิดแล้ว
2760.922 -> ตอนนี้จิตมันปรุงความฟุ้งซ่าน รู้สึกไหม
2764.332 -> คิดใหญ่เลย คิดๆๆๆ
2768.332 -> รู้ทันความปรุงแต่งไปเรื่อยๆ ไม่ห้าม
2771.892 -> ปรุงดีก็ได้ ปรุงชั่วก็ได้
2774.197 -> ปรุงสุขปรุงทุกข์ได้หมดล่ะ
2776.927 -> แต่รู้ทันมัน
2779.22 -> อย่างตรงนี้ไปทำจิตให้นิ่งแล้ว รู้สึกไหม
2785.22 -> ตรงที่แกล้งทำเป็นนิ่งๆ นั่นล่ะปรุงดี
2790.09 -> ตรงที่มันหนีไป นั้นปรุงชั่ว
2794.38 -> ขณะจิตตรงนี้ถูก
2798.38 -> ถูกมีแวบเดียวเท่านั้นล่ะ
2801.49 -> ไม่ถูกตลอดเวลาหรอก
2803.31 -> เดี๋ยวก็ปรุงต่อ
2805.08 -> เดี๋ยวก็ปรุงดี เดี๋ยวก็ปรุงชั่ว
2806.88 -> ตรงที่รู้ทันว่าปรุงนั่นล่ะ
2808.86 -> มันหยุดปรุงไปชั่วขณะ
2812.86 -> ปรุงคิดแล้ว รู้สึกไหม
2817.8 -> จิตไหลไปคิดอย่างนี้
2820.22 -> รู้ทันไปเรื่อย
2821.8 -> พุทโธไปแล้วก็รู้ทันความปรุงแต่งไป
2829.34 -> หมายเลข 3 : 2 ปีก่อนเคยตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง
2834.82 -> รู้สึกกังวลกับร่างกาย
2837.53 -> กลัวตาย
2839.09 -> เห็นความทุกข์จากการยึดในร่างกายและจิตใจ
2842.72 -> รู้สึกไม่เป็นกลางกับความทุกข์สุข
2846.17 -> ช่วงหลังพยายามฝึกสมาธิให้มากขึ้น
2849.62 -> รู้สึกถึงหัวใจเต้นแรง
2852.26 -> หมุนอยู่ในระหว่างวันและตอนนั่งสมาธิ
2855.38 -> ไม่ทราบว่าที่ทำอยู่ถูกต้องไหมคะ
2858.1 -> ถูก ทำอีก ทำไปเรื่อยๆ
2861.71 -> กายก็อยู่ส่วนหนึ่ง
2863.77 -> ค่อยๆ ดูไป
2865.92 -> ความสุขความทุกข์ก็อยู่ส่วนหนึ่ง
2867.91 -> ความปรุงแต่งของจิตก็อยู่ส่วนหนึ่ง
2871.034 -> ความรับรู้คือตัวจิตใจที่เป็นคนรู้
2873.134 -> ก็อยู่ส่วนหนึ่ง
2875.324 -> แยกมันไปเรื่อยๆ
2877.304 -> ต่อไปเราจะเห็น
2878.614 -> มันไม่มีคนตายหรอก
2881.194 -> มันไม่มีคนตาย ไม่มีเราตายหรอก
2884.494 -> มันมีแต่ขันธ์เกิดขึ้น ตั้งอยู่
แล้วมันก็แตกดับไป
2889.814 -> มันไม่มีเราหรอก
2892.094 -> ความเป็นเรามันเกิดจากการหลงผิด
2895.294 -> หมายรู้ผิดๆ ว่ามีเรา
2897.754 -> คิดผิดๆ ว่ามีเรา
2899.704 -> ก็เลยเชื่อผิดๆ ว่ามีเรา
2903.704 -> ฉะนั้นเราคอยดูไปเรื่อย
2905.694 -> แยกขันธ์ไปเรื่อยๆๆ
2908.284 -> แต่ละขันธ์ไม่มีเราหรอก
2910.784 -> ร่างกายเป็นวัตถุ
2912.684 -> ดูออกไหมร่างกายเป็นวัตถุ
2915.654 -> มีธาตุไหลเข้า มีธาตุไหลออกตลอดเวลา
2919.654 -> ฉะนั้นร่างกายไม่ใช่เราหรอก
2921.844 -> มันเป็นวัตถุ เป็นสมบัติของโลก
2925.214 -> ความรู้สึกทั้งหลายมันก็ไม่ใช่เรา
2928.664 -> ความสุขมันก็ไม่เคยบอกเลยว่ามันเป็นตัวเรา
2932.154 -> เราไปตู่เอาเอง
2934.544 -> ความทุกข์มันก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นเรา
2937.704 -> เราก็ไปตู่มันเองว่าเราทุกข์
2940.924 -> ความดีความชั่วมันก็ไม่ใช่เรา
2944.594 -> เราก็ไปตู่เอาเองว่าเป็นเรา
2948.384 -> จิตใจนี้ก็ถูกตู่ว่าเป็นเราเหมือนกัน
2952.824 -> พอดูแยกๆๆ ไปเรื่อยๆ
2955.034 -> จะเห็นว่าไม่เห็นมีเราตรงไหนเลย
2958.004 -> แล้วใครจะตาย
2961.114 -> มันไม่มีใครตาย
2964.194 -> มีแต่ขันธ์ ถึงเวลามันแตกมันดับ
2968.194 -> ไม่ใช่เราแตกเราดับ
2970.814 -> ดูไปเรื่อยๆ ให้เห็นอย่างที่หลวงพ่อบอก
2975.634 -> ดูไปช่วงหนึ่งก็กลับมาทำความสงบ
2979.174 -> ให้จิตมีกำลัง
2980.654 -> มาอยู่กับพุทโธ อยู่กับอะไรก็ได้
2983.454 -> พอมีกำลังแล้วก็มาดู
2985.414 -> แยกธาตุแยกขันธ์ ไป ไม่ใช่เรา
2987.724 -> กายไม่ใช่เรา
2989.626 -> เวทนาไม่ใช่เรา
2991.376 -> สังขารไม่ใช่เรา
2992.894 -> จิตไม่ใช่เรา
2994.744 -> ค่อยๆ ดูไป
2996.824 -> คอยหมายรู้ความไม่เป็นเราไปเรื่อยๆ
3001.494 -> พอเราหมายรู้ถูก
3003.034 -> ต่อไปเราก็คิดถูก
3004.654 -> เราก็เชื่อถูก
3006.954 -> มีความเห็นถูกเกิดขึ้น
3009.424 -> พอใจมันเชื่อแน่วแน่แล้วว่า
3011.954 -> ขันธ์ 5 นี้ไม่ใช่เราหรอก
3015.484 -> มันไม่มีเราตายอีกต่อไปแล้ว
3022.834 -> หมายเลข 4: เจริญสติอยู่กับอิริยาบถ
ในชีวิตประจำวัน
3029.15 -> แผ่เมตตา และใช้พุทโธเป็นเครื่องอยู่
3032.72 -> ติดพากย์และยังยึดติดกับอัตตาตัวตนอยู่มาก
3037.43 -> เห็นโทสะตามจริตอยู่มาก
3040.79 -> เห็นความโกรธได้เร็วขึ้น บ่อยขึ้น
3044.19 -> กลัวการสูญเสีย
3045.82 -> คิดถึงความตายบ่อย
3047.97 -> ยังไม่ยอมรับและทุกข์นาน
3049.82 -> เมื่อคิดถึงเรื่องการพลัดพรากจากคนที่รัก
3053.24 -> ไม่ทราบว่า
จิตเริ่มเดินปัญญาบ้างหรือยังเจ้าคะ
3056.23 -> เริ่มแล้วล่ะ
3059.6 -> ภาวนาได้ดี
3062.47 -> ขันธ์แยกได้ดี
3067.37 -> ฝึกให้สม่ำเสมอ
3070.54 -> ทุกวันแบ่งเวลา
3072.59 -> ไหว้พระ สวดมนต์ ทำในรูปแบบ จิตจะได้มีแรง
3077.98 -> สิ่งที่รู้ที่เห็นนั่นล่ะ
3079.791 -> รู้ถูกเห็นถูกอยู่
3082.271 -> แต่กำลังของสมาธิยังไม่พอ
3087.731 -> ปัญญา มันก็เลยยังไม่มาตัด
3090.761 -> ยังไม่ปล่อย
3092.551 -> ตัดอะไร ตัดความเห็นผิด
3096.221 -> สุดท้ายก็ตัดความยึดถือ
3098.721 -> เบื้องต้นตัดความเห็นผิด
3100.611 -> เบื้องปลายตัดความยึดถือ
3104.611 -> ดูซ้ำๆ ลงไป
3106.341 -> ตอนนี้มันยึดถืออย่างเหนียวแน่น
3108.141 -> มันเชื่ออย่างเหนียวแน่นว่าตัวเรามีจริงๆ
3112.141 -> แล้วเรากลัวความสูญเสีย
3114.591 -> ความสูญเสียสำคัญที่สุด
3116.051 -> คือความสูญเสียตัวตนของตัว
3119.095 -> ตัวเราหายไป
3120.805 -> ใจมันยอมรับไม่ได้
3124.615 -> เฝ้ารู้เฝ้าดูจนกระทั่งเห็นเลย
3128.195 -> สิ่งที่มีอยู่นอกจากทุกข์
3130.775 -> ไม่มีอย่างอื่นหรอก
3133.745 -> ถ้าเราเห็นว่า
สิ่งที่เรามีอยู่เป็นทุกข์ทั้งหมดเลย
3137.745 -> เราจะไม่กลัวความสูญเสียหรอก
3141.855 -> เรายังเห็นว่ามันเป็นของดี
3144.005 -> กายนี้ของดี ใจนี้ของดี
3147.155 -> คนที่เราชอบใจอะไรอย่างนี้เป็นของดี
3151.405 -> ถ้าเราเจริญสติ เจริญปัญญาเรื่อยๆ ไป
3154.505 -> จะเห็นเลย เรารักอะไร เราผูกพันกับอะไร
3159.207 -> เราก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้นล่ะ
3161.717 -> ที่ใดมีรักที่นั่นก็มีทุกข์
3165.457 -> ดูอย่างนี้เรื่อยๆ
3167.657 -> พอมันเห็นทุกข์แล้ว มันจะวาง
3169.537 -> อย่างที่หลวงพ่อบอก
3170.757 -> ไม่เห็นทุกข์ มันไม่วางหรอก
3172.997 -> มันก็พยายามฝืนความจริง
3175.377 -> เรากลัวการสูญเสีย
3176.787 -> ทั้งๆ ที่การสูญเสียนั้นเป็นธรรมชาติ
3180.487 -> หนีไม่พ้นหรอก
3183.267 -> กระทั่งชีวิตเราถึงจุดหนึ่งก็สูญเสีย
3186.817 -> แต่เรายอมรับความจริงตัวนี้ไม่ได้
3189.727 -> เราปฏิเสธความจริง
3191.337 -> เราพยายามดิ้นๆๆ ใจก็จะทุกข์ขึ้นมา
3195.637 -> ฉะนั้นดูลงไปเลย
3197.107 -> สิ่งที่เรารักทั้งหลาย
3199.907 -> เป็นภาระของใจทั้งนั้นเลย
3202.027 -> ดูอย่างนี้เรื่อยๆ ไป
3204.097 -> ทั้งตัวเรา ทั้งคนอื่นนั่นล่ะ
3206.767 -> รักอะไรก็เป็นทุกข์เพราะอันนั้นล่ะ
3211.167 -> หมายเลข 5: ปฏิบัติในรูปแบบ
3215.476 -> ภาวนา รักษาศีล ทำทานเป็นประจำ
3220.086 -> มีลมหายใจเป็นวิหารธรรม
3222.736 -> ยังไม่ค่อยพบทางสายกลาง
3225.285 -> ไม่เพ่งไปก็เผลอ
3227.425 -> ในช่วงลมหายใจหนึ่ง
3229.385 -> เห็นการเกิด – ดับในชั่วลมหายใจ เป็นห้วงๆ
3233.385 -> เวลาที่จิตตั้งมั่น
3235.205 -> จะมีความสงบและความนิ่งได้นานขึ้น
3238.565 -> ระหว่างวันยังฟุ้งซ่านและเผลอบ่อยๆ
3241.705 -> ขอคำชี้แนะเพื่อปฏิบัติต่อไปค่ะ
3245.245 -> ปฏิบัติอยู่ก็ดีแล้วล่ะ
3249.245 -> คอยรู้ทันกิเลสของเรา
3252.665 -> อย่างกิเลสพวกมานะอัตตา พวกอะไรพวกนี้
3256.665 -> กูเก่งอย่างโน้นอย่างนี้
3258.455 -> กูดีอะไรพวกนี้
3259.815 -> รู้ไปเรื่อยๆ
3261.915 -> ตัวนี้มันทำให้ใจเราไม่ค่อยสบาย
3265.095 -> มันจะต้องไปปรุงดีอยู่เรื่อยๆ
3276.25 -> จิตมันไหลไปรู้สึกไหม
3280.51 -> มันหนีไปคิด
3283.28 -> ไหลไปคิด รู้ว่ามันไหลไป
3287.79 -> หายใจไว้ หายใจแล้วรู้สึกๆ สบายๆ
3296.15 -> จิตตรงนี้กับเมื่อกี้ต่างกันแล้ว รู้สึกไหม
3300.252 -> เมื่อกี้เป็นจิตออกนอก
3303.242 -> อันนี้จิตมันเข้าบ้านแล้ว
3305.872 -> พอจิตมันเข้าบ้านแล้วเราก็ดูไป
3308.572 -> มีสติระลึกรู้
3311.752 -> พอจิตเรามีสมาธิ มันตั้งมั่นอยู่อย่างนี้
3314.262 -> ล้วพอมันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เราคอยรู้
3316.662 -> ตรงนี้มันเคลื่อนไปคิดแล้ว
3320.142 -> เราก็รู้ทันความปรุงแต่งที่เกิดขึ้น
3325.792 -> ไปทำต่อ ทำมาได้ดีแล้วล่ะ
3329.472 -> แล้วคอยรู้ทันความปรุงแต่ง
3331.778 -> มันละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ
3335.538 -> เบอร์ 3 จิตออกนอกไปแล้ว เบอร์3
3339.238 -> รู้สึกไหมมันลืมตัวเอง
3345.798 -> เบอร์ 1 ก็หลงแล้ว เบอร์ 1
3351.088 -> เบอร์ 2 เพ่งแล้ว
3358.018 -> หมายเลข 6: ปฏิบัติทั้งวัน
3362.11 -> ตื่นมาก็ดูกายดูใจทำงาน
3365.5 -> ทำในรูปแบบทุกวัน ถือศีล 5
3369.11 -> บางครั้งก็รู้สึกว่ากายนี้ใจนี้ ไม่ใช่เรา
3373.11 -> บางครั้งก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์โลกนี้มากๆ
3377.65 -> มีบางเช้าก่อนตื่นนอน
3379.56 -> จะรู้สึกทุกข์ที่หน้าอกมากๆ
3382.15 -> ที่ปฏิบัติมาเดินปัญญาบ้างไหมคะ
3386.15 -> เดินแต่ยังฟุ้งอยู่
3390.7 -> ใจมันฟุ้งไปนิดหนึ่ง
3394.7 -> ลืมทุกอย่างไป รู้สึกตัวขึ้นมา
3400.2 -> เออ หายใจ รู้สึก
3403.844 -> แล้วมีอะไรแปลกปลอมในกาย
3406.224 -> มีอะไรแปลกปลอมในใจก็มีสติรู้ไป
3410.224 -> อย่างจิตเราทรงตัวอยู่อย่างนี้
3413.564 -> แต่อย่าไปรักษา
3414.924 -> ถ้ารักษาแล้วจะแน่นๆ
3418.184 -> มันเริ่มแน่นแล้ว รู้สึกไหม
3421.714 -> เพราะเราจงใจที่จะรู้สึกแล้ว
3425.134 -> ลืมมันไปเลย ลืมความรู้สึกตัวไป
3429.714 -> เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ หายใจใหม่
3437.014 -> มันจะกลับเข้ามาเอง
3440.733 -> พอจำได้ไหม
3445.143 -> พอใจมันไหลไปแล้ว
3447.403 -> เราก็ลืมมันไปเลย ทิ้งมันไป หายใจเอาใหม่
3450.383 -> เดี๋ยวมันก็ตั้งมั่นขึ้นมาอีก
3453.263 -> พอใจมันตั้งมั่นบ่อยๆ
3455.253 -> อย่าไปรักษามัน เดี๋ยวมันก็เคลื่อน
3457.953 -> อย่างตอนนี้มันเคลื่อนอีกแล้ว รู้สึกไหม
3462.441 -> ทำกรรมฐานไป
3463.991 -> พอจิตมันเคลื่อนแล้วรู้ๆ ไปเรื่อยๆ
3467.831 -> อย่าไปรักษามัน
3469.391 -> ถ้ารักษามันจะแน่น
3473.391 -> ฝึกบ่อยๆ เดี๋ยวปัญญามันจะเกิด
3476.741 -> มันจะปล่อยวางได้ ภาวนาได้ดี
3479.981 -> วันนี้ภาวนาเก่งๆ หลายคนเลย
3484.931 -> เบอร์ 4 เวลาความรู้สึกต่างๆ มันเกิดขึ้น
3489.376 -> เบอร์ 4 อย่าให้มันครอบงำจิตเรา
3495.156 -> ความหดหู่เศร้าใจเกิดขึ้น
3497.666 -> อย่าให้มันครอบงำ
3501.086 -> ปีติสุขเกิดขึ้น ก็อย่าให้มันครอบงำ
3504.816 -> ไม่ว่าอะไรๆ ก็อย่าปล่อยให้มันครอบงำเราได้
3508.596 -> ไม่ว่าความปรุงดีหรือความปรุงชั่ว
3512.596 -> เราถึงจะได้เป็นอิสระเสียที
3516.596 -> ถ้าเราติดใจในความปรุงดี
3519.626 -> เราก็ไม่อิสระหรอก
3521.686 -> เราก็ต้องวางฟอร์มให้มันดูดีตลอด
3524.546 -> เป็นภาระ
3527.346 -> ถ้าเรารู้ทันความปรุงแต่ง
3529.596 -> ความปรุงแต่งครอบใจเราไม่ได้
3531.766 -> เราก็เป็นอิสระขึ้นมา
3536.626 -> เบอร์ 6 ตั้งใจแรงไปอย่างนี้
3545.056 -> มันแรงไป ให้มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ
3553.235 -> หมายเลข 7: ระหว่างวัน
พยายามรู้สึกตัวในอิริยาบถต่างๆ
3560.885 -> เห็นกายไม่ใช่เรา
3562.975 -> เห็นจิตเป็นผู้รู้ ผู้ดู ผู้คิด
3566.405 -> เห็นกิเลสหยาบๆ เกิดดับ ไม่ใช่เรา
3570.065 -> ในรูปแบบ พยายามเห็นกายนั่งหายใจ
3573.675 -> รู้สึกว่าไม่ใช่เรา
3575.975 -> จิตเป็นคนรู้ เป็นคนดูและหนีไปคิด
3579.975 -> รู้สึกว่ามีสิ่งรบกวนอยู่
3582.235 -> ขอหลวงพ่อแนะนำวิธีทำสมถะที่ถูกจริตด้วยค่ะ
3590.416 -> หายใจไปก็ได้
3593.836 -> หายใจ หายใจเข้า รู้สึกตัว
3597.576 -> หายใจออก รู้สึกตัว
3600.746 -> ไม่สนใจเรื่องการเดินปัญญา
3603.296 -> อย่างนี้จิตเคลื่อนไป อย่างนี้ใช้ไม่ได้
3606.786 -> จะไปเป็นมิจฉาสมาธิ
3610.416 -> จิตใจเป็นคนดูอยู่นี่ล่ะ
3612.626 -> เห็นร่างกายหายใจ จิตเป็นคนดู
3623.986 -> อย่างนี้จิตมันถลำลงไปดูแล้ว รู้สึกไหม
3629.646 -> ร่างกายหายใจไป จิตก็รู้สึก
3632.726 -> ร่างกายกำลังหายใจ แค่รู้สึกๆ
3635.566 -> ไม่ต้องไปดูแบบไปจ้องอย่างเมื่อกี้หรอก
3638.736 -> เมื่อกี้ไม่ใช่การเห็นอะไร
3640.886 -> มันไปถลำลงไปจ้อง
3643.766 -> ถลำอย่างนี้ ถอยขึ้นมา
3649.456 -> ยิ้มหวานสิ
3653.456 -> จิตตรงนี้กับเมื่อกี้ไม่เหมือนกัน รู้สึกไหม
3658.646 -> จิตอย่างนี้ใช้ได้
3660.306 -> จิตอย่างเมื่อกี้ใช้ไม่ได้
3663.846 -> เพราะฉะนั้นเวลาเราจะทำสมถะ
3666.156 -> เราใช้จิตปกตินี่ล่ะ
3668.296 -> ไปรู้อารมณ์กรรมฐานอันเดียว
3671.256 -> ไม่สนใจเรื่องไตรลักษณ์ ไม่สนใจปัญญา
3677.636 -> ตรงนี้ถลำลงไปแล้ว
3680.296 -> เวลาทำสมาธิต้องระวัง
3682.106 -> อย่าให้จิตมันถลำลงไปจมแช่
3685.796 -> ถ้ามันไปจมไปแช่อยู่กับอารมณ์กรรมฐาน
3688.356 -> มันจะเป็นมิจฉาสมาธิ
3691.866 -> จิตต้องตั้งมั่น
3695.036 -> เออ จิตถอยมาอย่างนี้ล่ะ
3698.556 -> แล้วก็เห็นร่างกายหายใจด้วยจิตใจปกติ
3702.766 -> แค่รู้สึก ลืมคำว่าเห็นไป
3706.516 -> เอาแค่รู้สึกร่างกายมันหายใจ
3711.516 -> ของเบอร์ 7 ถ้าใช้คำว่าเห็น จะจ้องทุกทีเลย
3716.376 -> แค่รู้สึกๆ
3718.806 -> รู้สึกไหมร่างกายหายใจอยู่
3722.806 -> พยักหน้า รู้สึกไหม
3724.386 -> ร่างกายพยักหน้า แค่รู้สึกไว้
3730.406 -> เวลาจะหายใจก็แค่รู้สึกว่าร่างกายหายใจ
3735.426 -> ถ้าดูลมหายใจแล้วรู้สึกว่ามันยุ่งยากไป
3740.166 -> ก็รู้ความเคลื่อนไหวของร่างกายก็ได้
3743.066 -> ของเบอร์ 7 รู้กายก็ได้
3746.376 -> ร่างกายขยับอะไรนี้ รู้สึกไป
3748.626 -> เห็นร่างกายมันเคลื่อนไหว
3750.186 -> รู้สึกว่าร่างกายมันเคลื่อนไหวไป
3752.946 -> อย่าเห็น เห็นแล้วจะไปจ้องอย่างนี้ล่ะ
3756.286 -> ถลำลงไปจ้องทุกทีเลย
3767.256 -> เราส่งจิตไปดูแล้ว รู้สึกไหม
3771.62 -> อย่าไปดูร่างกาย แค่รู้สึก
3774.891 -> รู้สึกว่ามันมีอยู่
3776.671 -> ลองหลับตาสิ หลับตาแล้วลองขยับ
3779.381 -> ขยับมือ รู้สึกไหมๆ
3783.592 -> เอาแค่รู้สึก
3793.558 -> อย่าน้อมใจแบบนี้ โมหะมันจะแทรก
3797.558 -> ใช้ใจปกติ
3800.598 -> ใช้ใจที่ปกติไปรู้อารมณ์กรรมฐาน
3804.458 -> อย่างเช่นรู้ร่างกายที่ขยับ
3806.558 -> รู้ร่างกายที่หายใจ
3812.458 -> เบอร์ 7 เวลาจะรู้อะไร
3814.698 -> มันถลำลงไปรู้ทุกทีเลย
3817.038 -> เดี๋ยวจะตีให้แล้ว
3821.418 -> อย่าให้มันจมลงไป
3823.388 -> อย่าให้ถลำลงไป
3832.768 -> ส่งจิตไปดูที่ท้ายทอยตัวเองสิ
3843.359 -> รู้สึกไหมตรงนี้กับเมื่อกี้ไม่เหมือนกัน
3854.105 -> คืออย่าให้มันจมลงไป เวลารู้อะไร
3857.565 -> อย่าให้ถลำลงไป
3860.565 -> ให้มันรู้สึกตัวได้จริงๆ
3864.565 -> เบอร์ 8 ใช้ได้
3870.435 -> หมายเลข 8: ดูอารมณ์ที่เกิดขึ้น
3874.943 -> ทุกอย่างเกิดขึ้นกลางอก
3877.493 -> เห็นและเข้าใจคำว่าชั่วคราว
3880.103 -> บางครั้งจิตเดินปัญญาเอง
3882.723 -> มีสมาธิและจิตตั้งมั่นบ่อยขึ้น
3885.633 -> พยายามนั่งกรรมฐานให้บ่อยขึ้น
3888.623 -> ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ของจิต
3891.423 -> บางทีดูกาย บางทีดูจิต
3893.873 -> ขอหลวงพ่อแนะนำการปฏิบัติค่ะ
3896.593 -> ที่ทำอยู่ดีแล้ว ดีเยอะๆ ด้วย
3901.633 -> แต่ทำให้สม่ำเสมอไป
3903.903 -> อย่าหวังผลอะไร อย่าโลภ
3907.533 -> ภาวนามาสวยงามมาก
3911.273 -> ที่ภาวนาอยู่ดี ไปทำอีก
3916.433 -> ทำถูกแล้วก็ทำไปเรื่อยๆ จนมันพอ
3922.003 -> เบอร์ 7 เอ๊ย เบอร์ 7
3925.553 -> เราชอบไปปรุงแต่ง
3927.793 -> แต่งจิตให้มันนิ่งๆ
3930.313 -> แต่งอย่างโน้นแต่งอย่างนี้
3933.903 -> จิตมันไปปรุงอะไรก็คอยรู้ไว้
3938.233 -> มันไหลลงไปแล้ว มันไหล มันถลำลงไป
3946.413 -> ไปท่องพุทโธไว้
3949.133 -> พุทโธ ลองพุทโธสิ ไม่ต้องดูร่างกาย
3953.643 -> พุทโธเฉยๆ
3955.563 -> พุทโธแล้วอย่าปรุงแต่งจิต
3957.593 -> พุทโธเฉยๆ
3967.25 -> เบอร์ 7 ไปพุทโธเลย พุทโธแล้วจิตดี
3972.38 -> ไม่ต้องเอาลม ไม่ต้องเอาอะไรทั้งสิ้นเลย
3975.7 -> พุทโธไว้แล้วก็ต่อมาจิตใจมันสุข มันทุกข์
3979.25 -> มันดี มันชั่ว อะไรก็ค่อยรู้เอา
3982.59 -> ไม่ต้องรีบรู้ พุทโธไปเรื่อยๆ พุทโธไปสบายๆ
3990.09 -> รู้สึกไหม ใจมันคล้ายๆ ภาระมันลดลง
3997.257 -> ใจมันโล่ง มันเบาขึ้น
3999.507 -> อยู่กับพุทโธไป
4005.217 -> วันนี้เท่านี้ก็แล้วกัน
ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=IVOPUchwjzs