โลกิยธรรมและโลกุตตรธรรม :: หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช 22 ส.ค. 2564
โลกิยธรรมและโลกุตตรธรรม :: หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช 22 ส.ค. 2564
โลกิยธรรมและโลกุตตรธรรม :: หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช 22 ส.ค. 2564
“คนรุ่นหลังเรา คำว่าปฏิบัติธรรมมันเพี้ยน
มันเป็นความหมายที่แคบลงเรื่อยๆ
อีกหน่อยถ้าไม่มีใครท้วงติงไว้
แล้วอีกหน่อยเหลือแต่นั่งสมาธิหรือเดินจงกรมคือการปฏิบัติ
ถ้าไม่ได้นั่งสมาธิ ไม่ได้เดินจงกรม ไม่เรียกว่าปฏิบัติ
จริงๆ นั่งสมาธิเดินจงกรม มันเป็นแค่วิธีการที่จะภาวนา
ภาวนาคือการเจริญ เจริญสติ เจริญปัญญา แค่วิธีการ
เราไปหลงวิธีการจนกระทั่งคิดว่ามันคือหลักการ คือทั้งหมด
ชาวพุทธไม่ได้ทำแค่ทำสมถะวิปัสสนา
ชาวพุทธก็ทำหน้าที่ของตัวเอง
หน้าที่ต่อครอบครัว หน้าที่ต่อชุมชน พัฒนาตัวเองไป
ฉะนั้นการที่เราอยู่บ้าน ทำมาหากินอยู่อะไรนี่ด้วยความสุจริต
เราได้ปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว อันนี้เป็นโลกิยธรรม
ส่วนถ้าเราอยากพ้นจากโลก เราก็มาฝึกให้หนักขึ้น
เข้มงวดในการรักษาศีล เข้มงวดในการฝึกสมาธิ
ขยันขันแข็งในการเจริญปัญญา ถ้าเราทำได้ก็เดินไปสู่โลกุตตระ
ศีล สมาธิ ปัญญานั่นล่ะ เป็นมรรค
มรรคก็คือหนทางไปสู่ความดับสนิทแห่งทุกข์
ฉะนั้นที่เราปฏิบัติธรรมๆ สูงสุดก็คือเพื่อดับทุกข์
เพื่อความดับสนิทของทุกข์นี่เป้าหมายสูงสุด
ในทางโลกิยธรรมก็คือเพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างดี
แล้วก็เกื้อกูลที่วันหนึ่งเราจะสามารถพัฒนาจิตใจตัวเอง
ไปสู่ความดับสนิทแห่งทุกข์ได้ \
Content
4.434 -> พยายามมีสติสำคัญที่สุดเลย
10.762 -> มีสติก็มีการปฏิบัติ
13.742 -> ขาดสติก็ขาดการปฏิบัติ
20.573 -> การปฏิบัติธรรม
มันไม่ใช่เรื่องแค่สมถะวิปัสสนา
27.533 -> เมื่อไรเราทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
32.253 -> เมื่อนั้นก็ปฏิบัติแล้ว
37.152 -> อย่างเราตั้งใจรักษาศีลอะไรอย่างนี้
40.622 -> ก็เรียกว่าเราปฏิบัติธรรมเรียบร้อยแล้ว
45.972 -> เราทำมาหากินสุจริต
50.222 -> ทำหน้าที่ของเราให้ดีตามที่พระพุทธเจ้าสอน
56.582 -> เลี้ยงดูพ่อแม่ เลี้ยงดูลูกเมียอะไรอย่างนี้
60.922 -> ก็เป็นการปฏิบัติธรรม
65.332 -> ฉะนั้นอะไรที่ท่านสอนไว้
68.153 -> เอาไปทำก็เรียกว่าเราปฏิบัติธรรมทั้งหมด
72.583 -> การปฏิบัติธรรมมันมี 2 ส่วนใหญ่ๆ
77.31 -> ธรรมะเพื่อจะอยู่กับโลกอันหนึ่ง
81.31 -> ธรรมะเพื่อจะพ้นโลกมันอีกอันหนึ่ง
86.685 -> ช่วงหลังๆ คำว่าปฏิบัติธรรม
90.175 -> มันมุ่งมาที่เรื่องสมถะวิปัสสนา
94.175 -> ธรรมะเพื่อจะพ้นโลก
96.495 -> จนเราลืมความหมายที่แท้จริงของการปฏิบัติ
103.545 -> คือการทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
111.68 -> ธรรมะเพื่ออยู่กับโลกเราก็ต้องทำ
119.19 -> อย่างเรื่องทิศ 6 อย่างนี้
123.19 -> ฟังแล้วดูเชยเรื่องทิศ 6
128.403 -> ถ้าเราเป็นนักบริหาร
131.703 -> เอาเรื่องทิศ 6 มาใช้ได้สบายๆ เลย
137.633 -> ไปหาอ่านเอาเอง
140.173 -> แต่ละเรื่องๆ ธรรมะที่ท่านสอน
147.173 -> เรื่องทิศ 6 เป็นเรื่องการดำรงตน
152.173 -> ท่ามกลางคนกลุ่มต่างๆ
158.163 -> กับพ่อแม่ทำอย่างนี้ มีหน้าที่อย่างนี้
162.713 -> พ่อแม่ก็มีหน้าที่กับลูกอย่างนี้
166.713 -> กับสามีภรรยามีหน้าที่อย่างนี้
172.468 -> กับพระกับนักบวช กับพระก็มีหน้าที่อย่างนี้
178.448 -> กับลูกน้องเรา กับเพื่อนของเรา
มีหน้าที่อย่างนี้
184.795 -> พระพุทธเจ้าสอนไว้ทั้งนั้น
188.235 -> ถ้าเราทำตามได้ชีวิตเราก็จะมีความสุข
193.365 -> อาชีพการงานของเราก็เจริญรุ่งเรืองได้
199.475 -> อย่างมงคลชีวิต
202.335 -> แต่ละคนก็อยากได้มงคล
205.245 -> เที่ยวหาวัตถุมงคล
208.478 -> วัตถุมงคลไม่ใช่มงคล
210.618 -> วัตถุก็คือวัตถุ
214.158 -> มงคล 38 ประการไปดู
217.708 -> เป็นเรื่องที่เราต้องลงมือปฏิบัติทั้งนั้นเลย
222.208 -> การไม่คบคนพาลนี่เป็นมงคลแล้ว
227.108 -> การที่เราไม่คบคนพาล
228.848 -> ถือว่าเราได้ปฏิบัติธรรมแล้ว
231.768 -> การที่เราคบกับบัณฑิต
234.468 -> เราเคารพคนที่ควรเคารพอะไรอย่างนี้
238.188 -> ก็เป็นการปฏิบัติธรรม
241.678 -> การเลือกที่อยู่ที่ทำงาน
245.138 -> ที่เกื้อกูลกับการดำรงชีวิตอะไรอย่างนี้
249.948 -> ก็คือการปฏิบัติธรรม
252.689 -> อยู่ในปเทสที่สมควร เรียก ปฏิรูปเทส
257.085 -> คำว่าปเทสตัวนี้ ไม่ใช่แปลว่าประเทศ
261.455 -> ประเทศมันเกิดขึ้นมาทีหลัง
265.205 -> แต่ก่อนก็ไม่มีประเทศหรอก
268.205 -> มีแต่ชุมชน มีแต่เมือง มีแต่นครรัฐ
275.375 -> การเลือกปเทสที่เหมาะหมายถึง
เราอยู่ในที่ที่เหมาะ
282.195 -> อยู่ในที่ที่กิเลสไม่รุมเร้าเรา
287.115 -> ทำแล้วกุศลเจริญขึ้นอะไรอย่างนี้
289.855 -> รู้จักเลือก
292.715 -> ถ้าเราไปอยู่ในย่านโลกียะก็ภาวนายาก
300.806 -> ดำรงชีวิตอยู่ในโลกก็ลำบากวุ่นวาย ไม่สงบ
307.426 -> อย่างบางพื้นที่มีผับมีบาร์ เสียงดัง
311.733 -> คนมาเที่ยวจ้อกแจ้กจอแจทั้งคืนเลย
316.173 -> อันนี้ไม่ใช่ปฏิรูปเทส
320.173 -> เราอยู่ในที่ที่เหมาะสม
323.183 -> เลือกได้ก็เลือก
324.973 -> เลือกไม่ได้ จำเป็นต้องอยู่ในที่ที่วุ่นวาย
328.973 -> จำเป็นก็ต้องอยู่
331.043 -> อยู่ไปก่อนค่อยหาทางขยับขยาย
335.432 -> การเลี้ยงดูพ่อแม่อะไรอย่างนี้เป็นมงคล
339.432 -> ลองไปดูเรื่องมงคล 38 ประการ
343.432 -> จนสุดท้ายจิตของเราเกษม
347.202 -> จิตเกษมคือจิตนี้ปลอดภัยแล้ว
350.482 -> จิตปลอดภัยคือจิตพ้นจากอำนาจของมาร
354.242 -> พ้นจากอำนาจของกิเลส
357.162 -> ฉะนั้นอย่างในมงคล 38
359.472 -> ครอบคลุมทั้งโลกิยธรรมทั้งโลกุตตรธรรม
365.613 -> แล้วถ้าไปมองให้ดี
369.647 -> มันเป็นขั้นเป็นตอน เป็นลำดับ
373.027 -> ถ้าเราทำไปตามลำดับ
375.127 -> เราเจริญขึ้นเรื่อยๆ
378.947 -> ข้อแรกสุดเลยก็คือไม่คบคนพาล
383.477 -> ข้อสุดท้ายก็คือจิตเข้าถึงความปลอดภัย
390.081 -> การรู้แจ้งอริยสัจแล้วก็ จิตใจมันก็ปลอดภัย
396.771 -> เริ่มต้นก็มาจากการไม่คบคนพาล คบบัณฑิต
403.081 -> เราคบคนพาลมันก็พาเราเสียไปเรื่อยๆ
407.081 -> ฉะนั้นเป็นเรื่องธรรมะที่อยู่กับโลก
411.081 -> ถ้าเราคบคนพาล
413.206 -> ชีวิตเสียหายหมดทุกด้านเลย
417.456 -> กระทั่งทรัพย์สินเงินทองอะไรก็หายนะ
421.456 -> คบคนไม่ดี
423.416 -> ชวนเราเล่นการพนัน
425.12 -> ชวนเราเข้าบ่อนเข้าบาร์ กินเหล้า
430.68 -> หาสารเสพติดอะไรพวกนี้ นี่คนพาล
435.52 -> เราก็เลือกปฏิบัติธรรม
438.33 -> การที่เราไม่คบคนพาลก็คือ
เราปฏิบัติธรรมแล้ว
442.33 -> การที่เราคบบัณฑิตก็คือ
เราปฏิบัติธรรมแล้ว
448.2 -> การที่เราคบเคารพคนที่ควรเคารพ
ก็คือการปฏิบัติธรรม
454.033 -> การที่ทำหน้าที่ของเรา หน้าที่ต่อครอบครัว
458.382 -> ก็คือการปฏิบัติธรรม
462.26 -> ฉะนั้นคนรุ่นหลังเรา
465.33 -> คำว่าปฏิบัติธรรมมันเพี้ยน
469.47 -> มันเป็นความหมายที่แคบลงเรื่อยๆ
474.18 -> อีกหน่อยถ้าไม่มีใครท้วงติงไว้
478.49 -> แล้วอีกหน่อยเหลือแต่นั่งสมาธิ
481.251 -> หรือเดินจงกรมคือการปฏิบัติ
483.597 -> ถ้าไม่ได้นั่งสมาธิ ไม่ได้เดินจงกรม
ไม่เรียกว่าปฏิบัติ
487.597 -> จริงๆ นั่งสมาธิเดินจงกรม
490.067 -> มันเป็นแค่วิธีการที่จะภาวนา
494.547 -> ภาวนาคือการเจริญ เจริญอะไร
497.237 -> เจริญสติ เจริญปัญญา แค่วิธีการ
503.74 -> เราไปหลงวิธีการจนกระทั่งคิดว่า
มันคือหลักการ
508.24 -> คือทั้งหมด
511.568 -> ชาวพุทธไม่ได้ทำแค่ทำสมถะวิปัสสนา
515.61 -> ชาวพุทธก็ทำหน้าที่ของตัวเอง
519.47 -> หน้าที่ต่อครอบครัว หน้าที่ต่อชุมชน
525.11 -> พัฒนาตัวเองไป
528.411 -> ฉะนั้นการที่เราอยู่บ้าน
531.196 -> ทำมาหากินอยู่ด้วยความสุจริต
535.006 -> เราได้ปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว
538.546 -> อันนี้เป็นโลกิยธรรม
542.186 -> ส่วนถ้าเราอยากพ้นจากโลก
545.216 -> เราก็มาฝึกให้หนักขึ้น
548.236 -> เข้มงวดในการรักษาศีล
552.236 -> เข้มงวดในการฝึกสมาธิ
555.636 -> ขยันขันแข็งในการเจริญปัญญา
559.184 -> ถ้าเราทำได้ก็เดินไปสู่โลกุตตระ
563.824 -> ศีล สมาธิ ปัญญานั่นล่ะ เป็นมรรค
568.514 -> มรรคก็คือหนทางไปสู่ความดับสนิทแห่งทุกข์
577.513 -> ฉะนั้นที่เราปฏิบัติธรรมๆ สูงสุด
ก็คือเพื่อดับทุกข์
583.438 -> เพื่อความดับสนิทของทุกข์นี่เป้าหมายสูงสุด
588.418 -> ในทางโลกิยธรรมก็คือ
590.668 -> เพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างดี
แล้วก็เกื้อกูล
595.458 -> ที่วันหนึ่งเราจะสามารถพัฒนาจิตใจตัวเอง
599.499 -> ไปสู่ความดับสนิทแห่งทุกข์ได้
602.649 -> อย่างถ้าเราติดยาเสพติด
605.659 -> กินเหล้าเมายาอะไรอย่างนี้
608.259 -> โอกาสที่จะพัฒนาตัวเองต่ำมาก
615.168 -> ฉะนั้นโลกิยธรรมควรทำไว้
620.228 -> ปฏิบัติให้สม่ำเสมอ
625.508 -> แล้วก็ถ้ามีโอกาสก็ศึกษา
631.608 -> ลงมือปฏิบัติธรรมที่จะไปสู่โลกุตตระ
637.233 -> เป็นโลกุตตรธรรม มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา
642.383 -> สะสมไป
644.753 -> ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดได้ด้วยสติ
648.413 -> แล้วจริงๆ กระทั่งโลกิยธรรม
651.203 -> เราจะทำได้ดีก็ต้องมีสติ
654.533 -> อย่างถ้าเราขาดสติ
657.313 -> เดี๋ยวก็เผลอคบคนไม่ดีไปแล้ว
661.313 -> ใครมาประจบสอพลอก็คบเขาชื่นมื่นไป
666.261 -> ไม่มีสติ ไม่มีปัญญาที่จะยั้งคิด
669.351 -> ว่าอันไหนควร อันไหนไม่ควร
673.221 -> หรือมีแต่ข่าวเฟคนิวส์
ทุกวันนี้เต็มบ้านเต็มเมืองเลย
678.516 -> เราไม่มีสติ ไม่มีปัญญา เรากลั่นกรองไม่ออก
682.296 -> อันไหนจริง อันไหนไม่จริง
684.496 -> อันไหนควรเชื่อ อันไหนไม่ควรเชื่อ
687.726 -> ที่สำคัญคืออันไหนควรเสพ
690.006 -> อันไหนไม่ควรเสพข่าวสาร
693.416 -> นี่เป็นธรรมะที่อยู่กับโลก
696.986 -> ธรรมะพ้นโลกก็มีสติไว้
699.716 -> แต่ไม่ใช่สติธรรมดา
702.496 -> สติสำหรับจะพ้นโลก
704.796 -> เราต้องรู้ก่อนโลกคืออะไร
708.258 -> สิ่งที่เรียกว่าโลก คือรูปนาม
712.778 -> รูปนามที่สำคัญคือรูปนามของเราเองนี้ล่ะ
717.368 -> ก็คือกายกับใจเรานี่เอง
720.782 -> ถ้าเราสามารถปล่อยวางความยึดถือในกาย
725.382 -> ปล่อยวางความยึดถือในใจได้
727.776 -> เรียกเราพ้นโลกแล้ว
729.756 -> พ้นโลก
733.361 -> ฉะนั้นคำว่าโลกๆ ก็คือตัวรูปตัวนาม
สำหรับนักปฏิบัติ
741.522 -> สำหรับนักเรียน นักศึกษาก็เป็นอีกเรื่อง
744.482 -> โลกก็เป็นโลกที่เขารู้จักกัน โลกภูมิศาสตร์
748.482 -> แต่คำว่าโลกสำหรับผู้ปฏิบัติ
ที่อยากได้โลกุตตรธรรม
754.622 -> ต้องเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าโลกก็คือรูปนาม
760.372 -> พระพุทธเจ้าท่านมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า
โลกวิทู
765.722 -> ผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
768.982 -> บางทีเราก็นั่งเพ้อๆ ไปว่า
771.392 -> ท่านรู้ทุกเรื่องเลย
773.72 -> ท่านอาจจะรู้ก็ได้
775.71 -> แต่คำว่าโลกที่ท่านแจ่มแจ้งคือ
รูปนามนั่นเอง
780.42 -> ท่านรู้แจ้งตรงนี้
781.982 -> แล้วท่านรู้แจ้งสิ่งที่เหนือโลกคือพระนิพพาน
786.892 -> ฉะนั้นพวกเราอยากได้โลกุตตระ
790.421 -> โลกุตตระก็คำว่าโลกกับอุตตร
795.851 -> โลกก็รู้แล้วคือรูปนาม
798.531 -> อุตตรแปลว่าเหนือ
800.912 -> อุตตร คนไทยใช้คำว่าอุดร
803.992 -> ทิศอุดรก็คือทิศเหนือ
806.752 -> โลกุตตรธรรมก็คือธรรมที่อยู่เหนือโลก
812.182 -> ธรรมที่อยู่เหนือโลกก็คือ
813.962 -> สภาวะที่ไม่ยึดถือในรูปธรรม ในนามธรรม
820.503 -> สภาวะที่ไม่ยึดถือในกายในใจ
823.933 -> จิตมันพ้นจากความยึดถือในกายในใจได้
829.811 -> เราจะพ้นความยึดถือกายยึดถือใจได้
833.811 -> ต้องทำอย่างไร
836.234 -> เราต้องเห็นความจริงของกาย
838.354 -> เห็นความจริงของจิตใจก่อน
841.714 -> ความจริงของกาย ความจริงของใจ คือไตรลักษณ์
845.714 -> กายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
848.684 -> จิตนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
852.484 -> การที่เราตามรู้ตามเห็นความจริงของกาย
ของใจ ว่าเป็นไตรลักษณ์
859.134 -> อันนั้นล่ะเรียกว่าวิปัสสนากรรมฐาน
862.794 -> เป็นการฝึกที่จะเห็นความจริง
866.004 -> ของรูป นาม กาย ใจ
868.764 -> พอเราเห็นความจริงของรูป นาม กาย ใจแล้ว
872.194 -> จิตมันจะคลายความยึดถือ ปล่อยวาง หลุดพ้น
877.134 -> จิตก็หลุดพ้นจากรูป รูปมีอยู่ แต่จิตไม่ยึด
882.083 -> นามธรรมมีอยู่ กระทั่งตัวจิตก็มีอยู่
886.163 -> แต่ไม่ยึดถือ
888.443 -> จิตที่พ้นความยึดถือ
890.243 -> เป็นจิตอีกชนิดหนึ่ง เป็นโลกุตตระ
894.373 -> โลกุตตรจิต
896.683 -> จิตมีทั้งฝ่ายที่เป็นโลกิยะ
899.273 -> ฝ่ายที่เป็นโลกุตตระ
903.273 -> ฉะนั้นเราจะพ้นโลก คือพ้นรูปพ้นนามได้
907.273 -> เราต้องเห็นความจริงของรูปนาม
ว่าเป็นไตรลักษณ์
911.774 -> วิธีที่จะทำให้เราเห็นความจริงของรูปนาม
ว่าเป็นไตรลักษณ์
918.144 -> คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
922.584 -> เราจะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
924.934 -> เราไปดูวิธีปฏิบัติ
928.784 -> อยู่ในเรื่องของสติปัฏฐาน
934.474 -> มีสติรู้กายในกายเนืองๆ
938.286 -> มีสติรู้เวทนาในเวทนาเนืองๆ
942.436 -> มีสติรู้จิตในจิตเนืองๆ
945.066 -> สติรู้ธรรมในธรรมเนืองๆ
948.406 -> กายในกาย เวทนาในเวทนา
950.786 -> จิตในจิต ธรรมในธรรม
953.596 -> มันเป็นศัพท์เทคนิค เป็น technical terms
957.596 -> กายในกาย
958.976 -> เวลาเราจะเรียนรู้กาย
960.696 -> เราไม่ต้องเรียนรู้ทั้งหมดของกาย
963.546 -> ไม่ถึงขนาดต้องเรียนกายวิภาค
966.266 -> รู้กระทั่งเส้นเลือด เส้นเอ็น
969.506 -> เส้นประสาท ทุกสิ่งทุกอย่าง
972.506 -> อันนั้นให้หมอเขาเรียน
975.676 -> กายในกายเป็นการสุ่มตัวอย่าง
978.826 -> เรียนกายบางอย่าง
980.206 -> ถ้าเข้าใจแล้วก็จะเข้าใจรูปนามทั้งหมด
985.079 -> เวทนาในเวทนาก็เหมือนกัน
987.549 -> ถ้าเราเรียนเวทนา สุ่มตัวอย่างมาเรียน
990.489 -> เรียนเวทนาบางอย่าง
992.939 -> ถ้าเราเข้าใจเราก็จะเข้าใจเวทนาทั้งหมด
996.669 -> แล้วก็เข้าใจจิตที่รู้เวทนาทั้งหมดด้วย
1001.599 -> เวลาเราเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
1005.189 -> เราดูจิตในจิต
1009.143 -> จิตมีจำนวนมหาศาล
1012.193 -> แต่ว่าเราไม่ต้องเรียนทั้งหมด
1014.643 -> เราเรียนจิตที่มันเกิดบ่อยๆ
1018.193 -> อย่างถ้าคนไหนขี้โกรธ จิตโกรธเกิดบ่อย
1022.193 -> เราก็เรียนอยู่ 2 อย่างพอ
1024.833 -> จิตเดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็ไม่โกรธ
1027.213 -> เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็ไม่โกรธ
1028.883 -> เรียน 2 อย่าง
1030.223 -> สุ่มตัวอย่างมาเรียน 2 อย่างนี้
1033.443 -> พอเข้าใจ ก็จะเข้าใจว่าจิตทั้งหมดนั่นล่ะ
1037.715 -> ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา
1041.715 -> เรียนธรรมในธรรม
1043.285 -> คำว่าธรรมะคืออะไร พูดยากเลยใช่ไหม
1047.285 -> ธรรมะคืออะไรตอบได้ไหม
1050.849 -> ธรรมะคืออะไรไม่ค่อยมีการตอบ
1057.229 -> แต่พยายามอธิบายธรรมะ
ด้วยการแจกแจงแยกแยะว่า
1063.24 -> กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมา
1068.16 -> คำว่าธรรมะคำเดียว แยกได้ 3 อย่าง
1072.48 -> ธรรมะที่เป็นกุศล
1074.52 -> ธรรมะที่เป็นอกุศล
1077.13 -> ธรรมะที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลอะไรอย่างนี้
1081.13 -> พยายามแยกคำว่าธรรมะ
1084.01 -> เพราะฉะนั้นธรรมะกว้างขวางมาก
1086.81 -> รวมทั้งโลกุตตรธรรมด้วย ก็อยู่ในธรรมะ
1090.81 -> ธรรมะยังแยก 2 กลุ่มก็ได้
1093.83 -> ถ้าแยกแบบกุศล อกุศล
1097.83 -> แบบเป็นกลาง ไม่เป็นกุศลอกุศล
นี่แยกแบบหนึ่ง
1101.83 -> แยกอีกอย่างหนึ่งก็ได้
1104.48 -> ธรรมะที่เป็นความปรุงแต่ง
อย่างขันธ์ 5 เรานี่
1109.09 -> รูป นาม กาย ใจเรานี้
1111.235 -> เป็นธรรมะที่อยู่ในกลุ่มของความปรุงแต่ง
1114.265 -> เรียกว่าสังขตธรรม
1116.845 -> กับธรรมะที่พ้นจากความปรุงแต่ง
1119.955 -> อสังขตธรรมคือพระนิพพาน
1123.265 -> นี่เป็นการพยายามแยกคำว่าธรรมะ
1125.385 -> ไม่อย่างนั้นเราก็งง
1126.865 -> ได้ยินคำว่าธรรมะแล้วไม่รู้คืออะไร
1130.235 -> จะเรียนธรรมะทั้งหมด
1132.715 -> มันเหลือวิสัยที่จะเรียน
1135.295 -> ท่านก็สอนให้สุ่มตัวอย่างมาเรียน
1138.565 -> ถ้าเราเป็นพวกกิเลสแรง กิเลสเยอะ
1142.565 -> เราก็ดูนิวรณ์
1146.385 -> นิวรณ์มันเป็นกิเลสเบื้องลึกในใจเรา
1150.965 -> เป็นตัวขวางตัวกั้นความเจริญทางจิตใจ
1156.341 -> นิวรณ์มันซ่อนอยู่ คอยขวาง
1161.661 -> อย่างเช่นเวลาเราทำสมาธิ
1164.781 -> ก็ฟุ้งซ่าน ก็ขวางการทำสมาธิ
1168.781 -> เวลาเราจะเจริญเมตตา
1171.961 -> โทสะมันก็มาแทรก
1174.241 -> คิดไปในทางพยาบาทอะไรนี่
1176.781 -> ความเมตตาที่เราพยายามเจริญก็ล่มจมลงไป
1180.131 -> ฉะนั้นนิวรณ์เป็นตัวขัดขวาง
คุณงามความดีทั้งหลาย
1185.241 -> ถ้าเราเจริญธัมมานุปัสสนา
1187.731 -> แล้วมาเรียนสุ่มตัวอย่าง
1189.391 -> มาเรียนที่พระพุทธเจ้าสอน มาดูนิวรณ์
1193.131 -> ตัวไหนที่มันมาขัดขวางคุณงามความดีของเรา
1196.731 -> เรียนรู้มัน
1198.251 -> เรียนรู้ลงไปถึงเหตุถึงผลเลยว่า
1200.781 -> ทำไมมันเกิด ทำไมมันไม่เกิด
1203.751 -> เรียนรู้อย่างนี้
เรียกว่าเจริญธัมมานุปัสสนา
1207.191 -> ยาก
1209.164 -> หรือถ้าจิตเราเป็นกุศลเยอะ
1211.144 -> พระพุทธเจ้าท่านก็สุ่มตัวอย่างให้
1213.774 -> ท่านก็สอนเรื่องโพชฌงค์ 7
1216.744 -> โพชฌงค์เป็นองค์แห่งการตรัสรู้
1219.604 -> เป็นธรรมะฝ่ายกุศลชั้นเลิศ 7 ข้อ
1225.554 -> สุ่มตัวอย่างมาเรียน
1226.954 -> เรียนธรรมะฝ่ายกุศลอยู่ 7 ข้อนี้
1229.764 -> ก็รู้ว่าสติสัมโพชฌงค์เกิดได้อย่างไร
1234.2 -> อะไรทำให้มันไม่เกิด
1236.96 -> วิริยสัมโพชฌงค์เกิดได้อย่างไร
1239.55 -> อะไรทำให้มันไม่เกิด
1241.68 -> อันนี้ลึกๆ ลงไป
1244.25 -> ธัมมานุปัสสนาที่ละเอียดที่สุดก็คือ
1247.76 -> การเรียนรู้อริยสัจ 4 หรือปฏิจจสมุปบาท
1253.24 -> ปฏิจจสมุปบาท หรืออริยสัจ ก็คือ
เรื่องเหตุกับผล
1257.462 -> เรื่องเหตุกับผล
1260.222 -> ทำเหตุอย่างนี้ มีผลอย่างนี้
1262.012 -> ทำเหตุอย่างนี้ มีผลอย่างนี้
1263.782 -> ไม่ทำอย่างนี้ ผลอันนี้ก็ไม่มี
1269.142 -> ถ้ามันยากไปเราก็เรียนธรรมะ
1274.002 -> เจริญสติ เจริญปัญญา อยู่กับธรรมะที่พอทำได้
1279.172 -> อย่างกาย เวทนา จิต 3 อันนี้พอทำได้
1283.172 -> จะดูกาย อันนี้มีเงื่อนไข
1287.172 -> ควรเข้าฌานก่อนจนจิตเป็นอุเบกขา
1291.662 -> ในพระไตรปิฎกจะพูดถึงเข้าฌาน
1296.565 -> จนกระทั่งถึงฌานที่สี่ จิตเป็นอุเบกขา
1300.815 -> แล้วท่านก็ใช้คำว่า
1302.403 -> โน้มน้อมจิตดวงนั้นไปเพื่อให้เกิดญาณทัศนะ
1308.193 -> ตรงที่ฝึกจิตจนกระทั่งมันถึงอุเบกขาในฌาน
1313.708 -> เป็นการทำสมถะเต็มรูปแบบ
1317.708 -> แล้วก็ตอนออกมา จิตมันยังมีสมาธิ
1321.618 -> มีอุเบกขาทรงตัวอยู่ไม่เกิน 7 วัน
1325.09 -> แล้วก็เสื่อม
1326.72 -> บางทีกำลังเราอ่อน ก็อยู่ได้ 1 – 2 วัน
1331.33 -> ตรงที่มันเป็นอุเบกขา
1333.62 -> เวลามันไปรู้สภาวะ
1335.73 -> เห็นรูปธรรม เห็นนามธรรมแสดงไตรลักษณ์
1339.47 -> มันจะรู้ซื่อๆ
1341.8 -> รู้แบบไม่เข้าไปแทรกแซง
1344.51 -> ถ้าสมาธิเราไม่ดี จิตเราไม่เป็นอุเบกขา
1348.51 -> มันจะคอยแทรกแซง เช่น
1350.91 -> เห็นอกุศลก็แทรกแซง ทำอย่างไรอกุศลจะดับ
1354.54 -> เห็นกุศลก็แทรกแซง ทำอย่างไรกุศลจะอยู่ตลอด
1358.76 -> มันจะยินดีบ้างยินร้ายบ้าง
1361.14 -> เพราะไม่มีอุเบกขา
1363.25 -> ถ้าเข้าฌานถึงฌานที่
1365.88 -> อันนี้เหมาะที่สุดเลยกับการทำวิปัสสนากรรมฐ
1370.411 -> เพราะจิตจะเป็นกลางจริงๆ
1373.781 -> แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ใช้ขณิกสมาธิ
1378.441 -> ขณิกสมาธิเราก็ฝึกเอา
1380.761 -> สมาธิทีละขณะๆ นี่ล่ะ ฝึกบ่อยๆ
1384.821 -> จิตจะทรงตัวเป็นผู้รู้อยู่ตลอดเวลาเลย
1388.821 -> ก่อนที่หลวงพ่อจะเจอหลวงปู่ดูลย์
1391.231 -> หลวงพ่อทำสมาธิตามรูปแบบ
1394.381 -> จิตเป็นอุเบกขา
1396.551 -> โลกธาตุดับอะไรอย่างนี้
1399.491 -> เหลือแต่จิตผู้รู้ดวงเดียว
1401.531 -> จิตถอนออกมา
1403.001 -> ขันธ์มันแยกตลอดเลย
1405.251 -> ไม่เจตนาแยก แยกเองเลย
1407.541 -> มันเห็นเลย กายส่วนกาย จิตส่วนจิต
1409.281 -> คนละอันกัน
1411.221 -> พอมาเจอหลวงปู่ดูลย์
1413.211 -> หลวงพ่อมาดูจิตทำงานเป็นขณะๆ ไป
1417.371 -> จิตบางดวงก็สุข บางดวงก็ทุกข์
1419.651 -> บางดวงเป็นกุศล บางดวงโลภ
1421.961 -> บางดวงโกรธ บางดวงหลง
1425.231 -> จิตบางดวงเป็นจิตไปดูรูป
1427.831 -> จิตบางดวงไปฟังเสียง ไปดมกลิ่น ลิ้มรส
1431.231 -> ไปรู้สัมผัสทางกาย ไปคิดนึกทางใจ
1434.221 -> หรือไปเพ่งทางใจ
1436.301 -> เห็นจิตอันวิจิตรพิสดาร ทำงานมากมาย
1440.635 -> ฉะนั้นทุกครั้งที่เราเห็นจิตมันเป็นอย่างไร
1443.555 -> แล้วเรารู้ๆ ทุกครั้งที่รู้นั้น
1446.745 -> ขณิกสมาธิเกิดขึ้นแล้ว
1450.065 -> เกิดขึ้นในขณะที่รู้นั้นเลย รวดเร็วมาก
1454.476 -> ถ้าเรารู้ถี่ๆ ขณิกสมาธิทีละนิดๆ
1459.479 -> ทีละจุดๆ มันจะเหมือนต่อเนื่องเลย
1463.479 -> มันจะทรงตัวเหมือนต่อเนื่อง
1466.149 -> สภาวะไม่ได้ต่างกับจิตที่ถอยออกมาจากฌาน
1469.859 -> ด้วยความเป็นอุเบกขาเลย
1472.279 -> ดูทีละขณะๆๆ
1475.739 -> มันคล้ายๆ เรามีดินสอดำ แล้วเรามีกระดาษ
1480.399 -> เราก็ลากเส้นดินสอลงไปในกระดาษ
1485.609 -> เราเห็นว่าเส้นสีดำๆ นี้
1488.489 -> มันต่อเนื่องเป็นเส้นเดียว
1491.389 -> แต่เราเอาแว่นขยายไปส่อง
1493.929 -> ความขยายสูงๆ หน่อย
1496.509 -> เราจะเห็นเส้นไม่ได้ต่อกัน
1499.439 -> มันเป็นจุดดำๆ ไม่ปะติดปะต่อกัน
1503.439 -> เป็นจุดดำๆ มาเรียงๆๆ กัน
1506.219 -> ช่องว่างที่ไม่ใช่สีดำคั่นเป็นระยะๆ ไป
1513.019 -> ขณิกะมันก็เหมือนจุดจุดเดียวของปลายดินสอ
1517.399 -> แต่ถ้ามันเกิดบ่อยเกิดถี่
1519.999 -> มันเหมือนเราลากดินสอไปแล้ว
1522.489 -> ตัวผู้รู้เด่นดวงอยู่ได้ทั้งวัน
1527.409 -> ตอนที่หลวงพ่อเรียนกับหลวงปู่ดูลย์
1530.512 -> หลวงพ่อไม่สนใจเรื่องการทำสมาธิในรูปแบบเลย
1534.472 -> อันนี้ผิด ไม่ควรเอาตัวอย่าง
1537.552 -> หลวงพ่อตอนนั้นเจริญปัญญาแล้ว
1540.342 -> มันวิจิตรพิสดาร
1542.746 -> จิตนี้อัศจรรย์อย่างโน้นอย่างนี้
1545.756 -> เลยหมดความสนใจเรื่องการนั่งสมาธิ
1549.476 -> แต่จิตมันก็มีสมาธิ
1551.486 -> มันเป็นขณิกสมาธิ
1555.196 -> ไปเจอครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่สิม
1558.456 -> เป็นครูบาอาจารย์ที่เจโตปริยญาณไวที่สุด
1561.316 -> ที่หลวงพ่อเคยเห็น
1563.566 -> ไวมากเลย
1564.766 -> เราอยู่ที่ไหน เราคิดอะไรนี่
1566.656 -> ท่านได้ยินหมด ท่านรู้หมดเลย
1570.739 -> หลวงปู่สิมท่านเรียกหลวงพ่อว่าผู้รู้
1574.059 -> เพราะจิตหลวงพ่อเป็นผู้รู้
1577.199 -> จิตมันทรงตัวรู้อยู่
1579.159 -> ทรงอยู่ด้วยขณิกสมาธิที่สืบเนื่องไปเรื่อยๆ
1583.159 -> แต่มันทรงอยู่ได้ 2 ปีกว่าๆ
1587.159 -> กำลังของสมาธิที่ทำเต็มรูปแบบ
1590.729 -> มันเสื่อมลงไป มันหมดลงไป มันไม่พอ
1594.209 -> ก็ต้องกลับมาทำใหม่
1596.419 -> นั่งสมาธิ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
1600.419 -> จิตเข้าสู่ความสงบประณีตลึกซึ้ง
1604.599 -> มีเรี่ยวมีแรง
1606.119 -> เราก็มาเจริญสติอยู่ในชีวิตธรรมดานี้ล่ะ
1611.219 -> ค่อยๆ ฝึกไป
1615.28 -> อย่างเจโตปริยญาณอะไรพวกนี้
1618.25 -> อยู่ในอุปจารสมาธิเวลาจะใช้งาน
1622.64 -> อยู่ในอัปปนาสมาธิไม่ใช้หรอก
1624.836 -> มันลงมาใช้อยู่ในอุปจารสมาธิ
1627.496 -> เรื่องระลึกชาติ เห็นผีสางนางไม้ เห็นเทวดา
1632.456 -> รู้อดีต รู้อนาคตอะไรอย่างนี้
1635.636 -> ตอนอยู่ในอัปปนาสมาธิ จิตไม่เอาหรอก
1638.176 -> เรื่องพวกนี้ของเล่นไม่ใช่ของจริง
1643.437 -> บางคนภาวนาก็ทำไปเรื่อย
1646.337 -> หายใจไปอะไรไป
1648.207 -> พอใจเริ่มสงบๆ เข้าสู่ระดับอุปจารสมาธิ
1654.207 -> ยังไม่ถึงฌาน
1656.187 -> อย่างถ้าทำกรรมฐานชนิดซึ่งมันมีปฏิภาคนิมิต
1661.647 -> อย่างพวกกสิณทั้งหลายมีปฏิภาคนิมิต
1665.277 -> อานาปานสติก็มีปฏิภาคนิมิต
1668.627 -> คือกลายเป็นดวงสว่างขึ้นมา
1671.785 -> อย่างเรานั่งหายใจ
1673.345 -> ทีแรกหายใจเข้าพุทออกโธ
1676.185 -> ต่อมาคำว่าพุทโธหายไป
1677.715 -> เหลือแต่หายใจเข้าหายใจออก
1680.295 -> พอจิตสงบละเอียดขึ้น ลมหายใจระงับ
1684.215 -> มาหยุดอยู่ปลายจมูก
1687.385 -> หายใจน้อยที่สุดเลย เหมือนไม่หายใจ
1690.425 -> แล้วมันจะกลายเป็นแสงสว่างขึ้นมาตรงนี้
1694.425 -> แล้วแสงสว่างเรียกว่าอุคคหนิมิต
1698.425 -> ตัวลมหายใจเข้าหายใจออกอะไรนี่
1701.005 -> เรียกว่าบริกรรมนิมิต
1705.005 -> เกิดสว่างขึ้นมาเป็นอุคคหนิมิต
1708.395 -> ถ้าเราชำนาญในสมาธิ
1710.985 -> เราอยู่กับอุคคหนิมิตจนชำนาญ
1713.735 -> เราสามารถกำหนดจิต
ให้แสงนี้สว่างกว้างขวางได้
1719.085 -> ให้ย่อลงมาเล็กเท่าปลายเข็มก็ได้
1722.505 -> เวลาแสงมันย่อลงมาเท่าปลายเข็ม
1725.045 -> แสงมันเข้มมากเลย เข้ม เข้มข้นมากเลย
1729.195 -> เวลาสว่างออกไป
1731.241 -> เราทำจิตเหมือนพระอาทิตย์
เหมือนพระจันทร์ สว่าง
1735.131 -> นี้เป็นเรื่องของอุปจารสมาธิทั้งหมดเลย
1739.241 -> จิตที่ได้ปฏิภาคนิมิตเป็นจิตในอุปจารสมาธิ
1744.101 -> ถ้าจะเลยต่อไปก็ไม่สนใจนิมิต
1748.101 -> นิมิตมันเกิดตรงนี้
1750.281 -> เพราะฉะนั้นไม่ควรสนใจ
1752.656 -> เป็นจุดที่หลอกให้นักทำสมาธิหลง
1756.656 -> หลอกให้หลง
1758.376 -> เราภาวนาให้ได้มรรคได้ผลก่อน
1760.846 -> ถ้าจริตนิสัยมันเคยสะสมอะไรมา
1764.186 -> คุณสมบัติพิเศษอะไร
1766.296 -> แล้วมันมาเอง ไม่ต้องฝึก
1769.286 -> มันจะเกิดขึ้นเอง
1771.686 -> หลวงพ่อไม่ใช่คนเก่ง
1774.246 -> แต่ครูบาอาจารย์หลวงพ่อเก่งๆ เยอะเลย
1777.476 -> แต่ละองค์ลวดลายแพรวพราวไปหมดเลย
1781.096 -> อย่างหลวงปู่ดูลย์ทำอะไรได้แปลกๆ มากมาย
1784.766 -> รู้อนาคตตั้งยาว
1787.246 -> รู้อนาคตหลวงพ่อก็เคยเจอหลายองค์
1789.756 -> ท่านรู้ยาวมากเลย
1792.456 -> อย่างหลวงปู่ดูลย์
1794.896 -> เมื่อปี 2523 มีผู้หญิงคนหนึ่งไปลาท่าน
1809.786 -> เป็นคนสุรินทร์ บอกว่าจะมาแต่งงาน
1814.116 -> จะมาอยู่ชลบุรี
1816.266 -> หลวงปู่บอก “อ้อ เมืองน้ำเค็ม”
1819.226 -> เขาบอกใช่ อยู่ริมทะเล
1822.186 -> หลวงปู่ก็บอกว่า “ต่อไปลูกศิษย์เรา
1824.906 -> จะเอาธรรมะของเราไปเผยแพร่ที่ชลบุรีนี้ล่ะ”
1829.586 -> นี่ท่านบอกไว้
1830.836 -> ตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่เจอท่านเลย
1833.826 -> ท่านรู้อย่างนั้น รู้อนาคต
1838.606 -> ที่รู้อนาคตที่น่าทึ่งอีกองค์คือ
หลวงปู่บุญจันทร์
1843.156 -> รู้อะไรต่ออะไรได้แม่นเป๊ะๆๆ เลย
1847.746 -> อย่างหลวงปู่สิม เราคิดอะไรได้ยินหมด
1852.476 -> มีให้เห็นแปลกๆเยอะแยะเลย
1855.616 -> เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์
1857.956 -> ท่านไม่ได้เจตนาแสดงให้เราดูหรอก
1861.956 -> แต่ว่าท่านเห็นว่าเราภาวนาจริงๆ
1864.506 -> ก็ไม่ได้ปิดอะไร
1866.746 -> คล้ายๆ ใช้เครื่องมือพิเศษของท่าน
1870.456 -> เพื่อประโยชน์ในการสั่งสอน
1872.846 -> ไม่ได้เพื่อหาลาภสักการะอะไร
1876.056 -> อย่างหลวงพ่อเคยพาเพื่อนขึ้นไป
กราบหลวงปู่สิม
1882.166 -> ขึ้นภูเขาไป
1885.288 -> เสร็จแล้วท่านก็ให้นั่งขัดสมาธิเพชร
1888.838 -> นั่งไขว้อย่างนี้ นั่งท่านี้ เจ็บ
1893.248 -> ก็ไปด้วยกันหลายคน ก็นั่งกัน
1896.478 -> ท่านเทศน์ๆ ไปนิดหนึ่ง
1899.628 -> พี่คนหนึ่งผู้หญิง แกก็นึก
1903.248 -> “โห หลวงปู่เทศน์ดีเหลือเกินวันนี้
1907.058 -> เสียดายลูกสาวไปเรียนอยู่อเมริกา
1912.368 -> ไม่ได้มาฟังเทศน์หลวงปู่”
1915.168 -> หลวงปู่หยุดกึกเลย
1917.214 -> หันมาดุทันทีเลยว่าเหลวไหล
1920.464 -> ฟังเทศน์อยู่ถ้ำผาปล่อง
ไปคิดถึงลูกที่อเมริกา
1925.374 -> แกเลยช็อกไปเลย
1927.514 -> ต้องปลอบกันอยู่พักหนึ่ง หายช็อก
1932.034 -> สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องของอุปจารสมาธิ
1938.594 -> เพราะฉะนั้นเวลาท่านเทศน์
1940.584 -> ท่านทรงสมาธิๆ อยู่ระดับอุปจารสมาธิ
1945.684 -> ถ้าเวลาท่านจะพัก ท่านก็เข้าอัปปนาสมาธิไป
1949.684 -> ตอนที่มาอยู่อุปจารสมาธิน่ากลัวมากเลย
1952.834 -> ครูบาอาจารย์เวลาเทศน์
1956.424 -> เราพลาดนิดเดียวท่านจวกเลย
1959.729 -> อะไรควรสอนท่านสอนทันทีเลย
1963.229 -> มีประโยชน์เหมือนกัน
1965.719 -> แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้ธรรมะ
อย่าเล่นกับมัน
1969.359 -> หายนะ
1972.009 -> ลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์จำนวนมากเลย
1974.199 -> ชอบไปดูจิตคนอื่น
1976.229 -> ยังไม่เข้าใจธรรมะเลย
1978.239 -> ดูจิตคนอื่นรู้หมดเลย ดูจิตตัวเองไม่ออก
1981.819 -> หลวงปู่ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง
1984.259 -> ต่อมาพอหลวงปู่มรณภาพไป
1986.689 -> พวกนี้เล่นอิสระแล้ว ไม่มีใครว่าแล้ว
1989.639 -> สุดท้ายก็บ้า
1991.759 -> แยกแยะไม่ออกเลยว่า
1993.369 -> ที่เห็นอยู่นี่คนหรือผีก็ไม่รู้
1997.036 -> เห็นคนเป็นผี เห็นผีเป็นคน สุดท้ายก็บ้า
2001.606 -> เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้
อย่ามัวแต่ไปเล่นกับมัน
2004.866 -> ทำสมาธิ
2006.656 -> ถ้าจะทำความสงบก็ให้สงบจริงๆ
2009.166 -> อย่าไปสนใจนิมิต
2011.176 -> สนใจที่จิตใจของเราไป
2013.196 -> ค่อยๆ ภาวนาไป
2015.246 -> จิตมันก็มีปีติ มีความสุข
2017.676 -> มีความเป็นหนึ่งขึ้นมา มีอุเบกขาขึ้นมา
2021.136 -> ค่อยๆ ฝึกไป
2022.986 -> หรืออยู่ข้างนอกเจริญขณิกสมาธิ
2026.676 -> จิตเคลื่อนแล้วรู้ๆ ไป
2030.006 -> ตรงนี้ไม่มีนิมิตหรอก
2032.226 -> แต่ถ้าจะมุ่งไปทางฌาน มันจะไปผ่านนิมิต
2036.536 -> เพราะฉะนั้นเวลานั่งสมาธิ
2038.356 -> หลวงพ่อจะคอยโขกพวกเรา นั่งแล้วเคลิ้ม
2042.116 -> เดี๋ยวนิมิตมันจะมา
2045.208 -> เคลิ้มๆ ไม่ใช่อุปจารสมาธิหรอก
2047.298 -> คล้ายๆ เท่านั้นเอง
2049.008 -> อุปจารสมาธิที่ดีมีสติ
2052.168 -> อย่างครูบาอาจารย์ท่านใช้อุปจารสมาธิ
2055.088 -> ในการสั่งสอนเรา
2057.138 -> อุบายการสอนของท่านนี่แพรวพราวไปหมดเลย
2061.138 -> ทั้งรู้ทั้งเห็นอะไรสารพัด
2063.828 -> ไส้เรามีกี่ขด ท่านรู้หมด
2066.478 -> รู้ดีกว่าเราอีก
2069.478 -> แต่ว่าถ้าเรายังไม่ได้ธรรมะ อย่าสนใจ
2073.918 -> อุปจารสมาธิเป็นตัวหลอกให้หลง
2077.918 -> หลอกให้หลงด้วยนิมิตนานาชนิด
2081.918 -> นิมิตเป็นรูปก็มี
2083.478 -> เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นสัมผัสก็มี
2086.448 -> นิมิตเป็นสัมผัสนี่อัศจรรย์
2089.728 -> หลวงพ่อเคยเจอ
2091.908 -> เรานั่งสมาธิจนปวดขา
2094.058 -> ตอนนั้นไปบวชอยู่วัดชลประทานฯ
2098.138 -> ยังเป็นนักศึกษาอยู่
2099.708 -> เรียนปริญญาโทแล้วกระมัง เรียนยังไม่จบ
2104.586 -> เมื่อยเต็มที
2105.976 -> ก็เห็นคนเดินเข้ามานวดให้
2108.826 -> เราก็ลืมตาขึ้นมาดู
2110.867 -> เราเห็นขาเราเนื้อมันบุ๋มลงไปเป็นรอยนิ้วเลย
2116.444 -> เนื้อบุ๋มลงไปอย่างนี้ บุ๋มลงไป
2119.924 -> เออ นวดเก่ง
2122.334 -> นี่นิมิตที่เป็นโผฏฐัพพะ
2126.204 -> นิมิตมีทั้งนิมิตภายใน นิมิตภายนอก
2129.504 -> นิมิตภายนอกคือสิ่งข้างนอกแทรกเข้ามา
2132.524 -> นิมิตภายในคือสิ่งที่จิตสร้างขึ้นมา
2136.204 -> ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้อย่ามัวไปเล่น
2138.304 -> เดี๋ยวไม่ได้ของจริง
2140.494 -> เอาสติไว้เป็นหลัก
2142.794 -> มีสติคอยรู้ทันจิตใจตัวเองไป
2146.304 -> ไม่หลง ไม่เผลอ ไม่เพลิน
2149.114 -> ฝึกมากๆ เราก็จะเจริญวิปัสสนาได้
2154.624 -> อย่างทีแรกเรารู้กาย
2157.714 -> สมมติเราถนัดกาย
2160.224 -> เราเห็นร่างกายเดินจงกรม
2162.964 -> ถ้าภาวนาไม่เป็น มันก็ไปเห็นแต่ร่างกายเดิน
2166.964 -> ร่างกายเดินแล้วเพ่งอยู่ที่ร่างกาย
2169.844 -> เห็นท้องพองยุบ เพ่งอยู่ที่ท้อง
2172.284 -> เห็นขยับมือ เพ่งอยู่ที่มือ
2174.644 -> อันนี้เป็นสมถกรรมฐาน
2177.034 -> เพราะไม่ได้เห็นไตรลักษณ์
2179.808 -> ถ้าเห็นไตรลักษณ์มันจะมีสัญญาที่ถูก
เข้าไปหมายรู้
2185.621 -> รูปที่เดินอยู่มีสัญญาไปหมายรู้
2188.717 -> ถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
2192.217 -> อย่างนี้เรียกว่ามีสัญญาที่ถูก
2195.749 -> ฉะนั้นเวลาเราเจริญสติ มีสมาธิอยู่อะไรนี่
2200.289 -> มีสัญญา มีการหมายรู้ถูก ปัญญามันก็จะเกิด
2204.079 -> มันจะเกิดความรู้ถูกเข้าใจถูกขึ้นมา
2208.217 -> ฉะนั้นอย่าไปเกลียดสัญญา
2210.397 -> บางคนเกลียดสัญญา
2211.837 -> คิดว่าสัญญาเป็นสิ่งหลอกลวงให้หลง
2215.487 -> สัญญามี 2 กลุ่ม
2217.687 -> สัญญาวิปลาส ทำให้หลงผิด
2221.167 -> อย่างหลงของที่ไม่สวยไม่งามว่าสวยว่างาม
2225.507 -> ของไม่เที่ยงหลงว่าเที่ยง
2227.697 -> อย่างเรา ชีวิตเราไม่เที่ยง
2229.667 -> แต่เราไม่คิดหรอกว่าวันนี้จะตาย
2232.087 -> เรารู้สึกยังเที่ยงอยู่ อย่างนี้สัญญาวิปลาส
2236.537 -> ของเป็นทุกข์เห็นว่ามันเป็นสุข
2238.835 -> ของไม่ใช่ตัวเราเห็นว่าเป็นตัวเรา
2241.795 -> แต่ถ้าเจริญปัญญา ก็ต้องมีสัญญาที่ถูก
2245.795 -> คือหมายรู้ของไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง
2249.215 -> หมายรู้ของเป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์
2251.275 -> หมายรู้ของที่ไม่ใช่ตัวเราว่าไม่ใช่ตัวเรา
2255.275 -> อย่างนี้เรียกว่าหมายรู้ถูก
2256.925 -> หมายรู้ถูกมีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้
2261.625 -> สติระลึกรู้ลงในรูปธรรมหรือนามธรรม
ที่กำลังปรากฏ
2266.925 -> ทำไมต้องกำลังปรากฏ
2269.305 -> เพราะสติไม่สามารถระลึกรู้
รูปธรรมนามธรรมในอดีตได้
2274.245 -> มันไม่มีให้รู้
2276.145 -> รูปธรรมนามธรรมมันมีอยู่ในปัจจุบัน
2279.145 -> ในอดีตมันหมดไปแล้ว
2280.985 -> ในอนาคตมันยังไม่เกิด
2283.065 -> ฉะนั้นสติอยู่กับปัจจุบันนี้
2284.905 -> ถึงจะเห็นรูปเห็นนามของจริงได้
2287.955 -> มิฉะนั้นถ้าหลงไปในอดีต
2289.655 -> ก็ไปคิดถึงรูปนามในอดีตซึ่งหมดไปแล้ว
2293.095 -> หรือคิดถึงรูปนามในอนาคตซึ่งยังไม่มี
2296.535 -> เพ้อๆ ไป
2298.275 -> ฉะนั้นสติเรารู้รูปรู้นามที่กำลังปรากฏ
ในปัจจุบัน
2302.275 -> จิตมีสมาธิ มีความตั้งมั่น ไม่ถลำลงไปรู้
2307.544 -> แล้วก็มีสัญญาหมายรู้ว่ามันเป็นไตรลักษณ์
2312.604 -> สัญญาหมายรู้ มันต่างกับการคิดๆ
2318.794 -> ถ้าเราคิดว่ามันเป็นไตรลักษณ์
2320.784 -> ยังอยู่ในการคิดอยู่
2322.641 -> ยังเป็นการตรึก เป็นการวิตกอยู่
ไม่ใช่ตัวสัญญา
2326.041 -> ตัวนั้นเป็นตัวสังขารถ้าคิดเอา
2328.751 -> สัญญามันเป็นมุมมองที่จิตมอง
2332.991 -> เราต้องฝึกไปเรื่อยๆ
2335.241 -> ทีแรกเราก็ฝึก
2336.581 -> เห็นร่างกายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
2339.681 -> จะคิดนำนิดหน่อย จนกระทั่งจิตมันมองเป็น
2343.571 -> มันมองเอง มันหมายรู้เอง
2345.981 -> ตรงที่มันหมายรู้เองโดยไม่ได้คิด
2348.361 -> ตรงนั้นถึงจะเป็นวิปัสสนาได้จริง
2352.001 -> ธรรมะสนุกๆ เรียนอะไร ค่อยๆ เรียนไป
2357.371 -> ในที่สุดเราก็เห็นความจริงของรูป นาม กาย ใจ
2360.951 -> พอเห็นความเป็นจริงแล้ว
2362.891 -> ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
2365.196 -> แล้วเกิดอะไรขึ้น
2366.666 -> จิตมันจะเบื่อหน่าย เอือมระอา
2369.336 -> กายนี้ไม่ใช่ของดีของวิเศษ
2371.726 -> ไม่ใช่ของน่ารัก น่าหวงแหน
2374.076 -> จิตนี้ไม่ใช่ของดีของวิเศษ
2376.256 -> ไม่ใช่ของน่ารัก น่าหวงแหน
2378.936 -> จิตก็หมดความยึดถือในกายในใจนี้
2382.936 -> จิตก็เข้าสู่โลกุตตระ
2384.556 -> เพราะมันพ้นกายพ้นใจ พ้นรูปพ้นนามแล้ว
2387.566 -> ก็บอกแต่แรกแล้วว่ารูปนามนั่นล่ะคือโลก
2391.566 -> จิตมันพ้นจากรูปนามแล้วก็คือพ้นโลก
2394.716 -> ก็คือโลกุตตระ พ้นจากโลกได้
2399.176 -> ค่อยๆ เรียน ค่อยๆ ฝึกไป
2402.466 -> ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมอยู่กับโลก
2405.976 -> อย่าทิ้งธรรมะทางโลก คือโลกิยธรรม
2408.759 -> ต้องศึกษา ต้องเรียน ต้องลงมือปฏิบัติ
2413.709 -> ในฝ่ายของโลกุตตรธรรม
2416.839 -> ศีล สมาธิ ปัญญาอะไรก็ต้องฝึก
2420.679 -> ฝึกฝนไปเรื่อยๆ ตามลำดับๆ
2424.679 -> ที่หลวงพ่อเทศน์วันนี้
2427.199 -> ฟังรอบเดียวอาจจะฟังได้ไม่หมดหรอก
2430.819 -> ไปฟังซ้ำๆ รีรันหลายๆ รอบ
2434.089 -> เดี๋ยวมันก็ค่อยเข้าใจขึ้นมา
2438.089 -> เดี๋ยวนี้ดูซ้ำได้ใช่ไหม
2440.749 -> เออ ไปดูซ้ำแล้วจะเข้าใจที่หลวงพ่อพูด
2445.739 -> มันจะคลุมการปฏิบัติไว้เยอะแยะเลย
2449.339 -> ทั้งโลกิยธรรมจนถึงโลกุตตรธรรม
2453.619 -> วันนี้เท่านี้
2456.034 -> ต่อไปตรวจการบ้าน 40 นาทีเป๊ะเลย
2471.473 -> คำถาม 1: ครั้งก่อนหลวงพ่อให้บริกรรม
2477.433 -> “เมตตาคุณัง อรหัง เมตตา”
2480.073 -> หลังจากนำไปปฏิบัติ เห็นกิเลส
2483.163 -> เห็นความไม่ดีของตัวเองเยอะขึ้น
2485.693 -> แต่รู้สึกการภาวนาไม่ก้าวหน้า
2488.443 -> โทสะเกิดขึ้น ไม่มีสติรู้ทัน
2491.543 -> เกิดไปสักพักจึงรู้ว่ามีโทสะ
2494.253 -> รู้ว่าโกรธแต่ระงับไม่ได้
2496.553 -> ขอคำแนะนำค่ะ
2500.553 -> เรารู้ว่าโกรธไม่ใช่เพื่อจะระงับ
2509.333 -> ที่เราอยากระงับความโกรธ
2511.343 -> เพราะเรายินร้ายต่อความโกรธ
2513.713 -> สภาวธรรมทั้งหลายเกิดขึ้น
2515.943 -> จะสุขหรือทุกข์ จะดีหรือชั่ว
2519.343 -> ล้วนแต่สอนธรรมะ
2520.996 -> คือสอนไตรลักษณ์เท่าเทียมกัน
2523.466 -> ถ้าเราจะฝึกในขั้นเจริญปัญญาแล้ว
2526.826 -> ไม่ต้องไปห้ามมันหรอก
2529.076 -> ความโกรธเกิดขึ้น รู้ว่ามีความโกรธ
2532.706 -> อยากให้มันหาย มันไม่หายอย่างที่อยาก
2536.226 -> ทำไมมันไม่หายอย่างที่อยาก
2539.156 -> มันกำลังสอนอนัตตาเราอยู่
2541.766 -> ถ้าเราสั่งให้มันหายได้
2543.446 -> แสดงว่าความโกรธเป็นอัตตา
2546.496 -> แต่เราสั่งมันไม่ได้
2548.796 -> สั่งไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ นั่นล่ะคือ
คำว่าอนัตตา
2553.786 -> เพราะฉะนั้นเรามีสติตามรู้สภาวะไป
2557.406 -> จิตมันโกรธขึ้นมาก็รู้
2560.226 -> มันหายโกรธก็รู้
2562.246 -> มันโกรธขึ้นมา ไม่พอใจก็รู้
2565.226 -> อยากให้มันดับก็รู้
2567.786 -> คอยรู้ทันจิตใจตัวเองจนมันเป็นกลาง
2571.256 -> ในที่สุดความโกรธเกิด
2573.126 -> จิตก็รู้ด้วยความเป็นกลาง
2575.326 -> มันก็ดับของมันเอง
2577.172 -> ทำไมมันดับ
2578.752 -> เพราะเราไม่ได้เติมเชื้อไฟ
2580.472 -> ไม่ได้เติมเหตุของความโกรธเข้าไป
2583.622 -> เหตุของความโกรธก็คือพยาบาทวิตก
2586.232 -> นี่ตัวร้ายเลย
2587.852 -> อย่างเราโกรธใครสักคนหนึ่ง เราไปคิดถึงเขา
2590.892 -> คิดทีไรก็โกรธทุกที
2593.212 -> แล้วต่อมาพอใจเราโกรธ เราอยากภาวนา
2596.072 -> เราเห็นจิตโกรธ เราไม่พอใจ อยากให้หายโกรธ
2600.062 -> ตรงที่ไม่พอใจที่ตัวเองโกรธ
2602.479 -> อันนั้นก็คือความโกรธ
2604.569 -> เป็นความโกรธอีกตัวหนึ่งซ้อนขึ้นมาอีก
2607.619 -> อันนั้นกลายเป็นว่าเต็มไปด้วยความโกรธ
2609.899 -> แต่ไม่เห็น
2611.189 -> ฉะนั้นต่อไปนี้เวลาความโกรธเกิด ไม่ใช่ละมัน
2615.059 -> ความโกรธอยู่ในสังขารขันธ์
2618.369 -> อยู่ในกองขันธ์ อยู่ในกองทุกข์
2621.289 -> หน้าที่ต่อกองทุกข์คือการรู้ ไม่ใช่การละ
2625.289 -> ตัวโกรธไม่ใช่ตัวสมุทัย
2628.109 -> เพราะฉะนั้นเวลาโกรธเกิดขึ้น
2630.029 -> ก็เห็นความโกรธเกิดขึ้น
2631.729 -> อยากให้หาย รู้ว่าอยาก
2633.589 -> ตัวอยากนั่นล่ะตัวสมุทัย
2638.479 -> ฉะนั้นเป็นกลางๆ
2641.269 -> ใจไม่เป็นกลาง รู้ว่าไม่เป็นกลาง
2644.279 -> แล้วมันจะเป็นกลางเอง
2651.379 -> คำถาม 2: ทุกวันปฏิบัติโดยการเจริญสติ
อยู่กับกาย
2657.489 -> ระหว่างวันจะเห็นจิตหลงไปทางทวารทั้ง 5
2660.993 -> สลับกันไป
2662.163 -> มีความรู้สึกตัวอยู่เรื่อยๆ
2664.743 -> ส่วนในรูปแบบ ดูร่างกายหายใจเป็นวิหารธรรม
2668.743 -> แล้วเห็นสภาวะจิตหลงไปคิดแล้วรู้
2672.023 -> เกิดดับสลับกันไป
2674.103 -> จิตมีโมหะเยอะ
2675.683 -> บางทีจิตมืดแล้วก็สว่าง
2678.483 -> เห็นว่าจิตทำงานได้เอง เป็นอนัตตา
2682.093 -> ปฏิบัติทุกวันแบบนี้ถูกต้องหรือไม่คะ
2684.623 -> ถูก ไปทำอีก
2688.153 -> แต่ปกติจิตเหมือนตอนนี้ไหม
2691.493 -> ต้องไม่เหมือนนะ
2693.247 -> ถ้าเหมือนตอนนี้ จิตยังออกนอกอยู่
2697.447 -> จิตตั้งมั่น เห็นสภาวะทั้งหลายเกิดดับไป
2702.237 -> ถูกแล้ว
2705.517 -> ทำได้ถูกแล้ว ไปทำต่อไป
2708.537 -> อนุโมทนา ทำได้ดี
2712.537 -> คำถาม 3: ปฏิบัติทุกวัน
2716.537 -> รู้กายรู้ใจ มีศีลดีขึ้น
2719.697 -> บางครั้งรู้สึกไหวๆ อยู่กลางอก
2722.587 -> บางครั้งรู้สึกทุกข์
2724.907 -> อยากรบกวนสอบถามหลวงพ่อว่า
2727.297 -> ควรปรับปรุงตรงจุดใดบ้าง
2729.217 -> รวมทั้งขอการบ้านเพื่อนำไปปฏิบัติครับ
2731.797 -> จิตมันยังฟุ้งซ่านเก่งอยู่
2734.777 -> ฉะนั้นเราต้องมีเครื่องอยู่
2737.617 -> ค่อยๆ ฝึกทุกวันๆ ไป จิตจะค่อยๆ สงบกว่านี้
2742.937 -> อย่างตอนนี้มันยังดิ้นไปดิ้นมา
2745.577 -> อยากโน้นอยากนี้ ให้รู้ทันมันไป
2749.337 -> มันดิ้นอยู่ก็รู้ทัน
2751.677 -> ในที่สุดจิตก็เป็นกลาง
2754.407 -> ไม่ดิ้นไปดิ้นมาอย่างนี้
2758.087 -> สมาธิยังไม่พอ
2761.197 -> เวลารู้ยังถลำลงไปรู้ด้วย
2767.197 -> ลองหยุดปฏิบัติสิ ตอนนี้ขณะนี้หยุดปฏิบัติ
2775.026 -> จิตตรงนี้ดีกว่าเมื่อกี้ รู้สึกไหม
2779.026 -> จิตตรงนี้โปร่ง โล่ง เบาขึ้นมา รู้สึกไหม
2783.846 -> เพราะฉะนั้นจิตอย่างเมื่อกี้ไม่ถูก
2787.556 -> มันเป็นสมาธิชนิดที่ใช้ไม่ได้หรอก
2790.196 -> มันไปเคร่งเครียดอยู่
2792.296 -> แล้วพอไปบังคับมันมาก
2794.126 -> มันก็ดิ้นขลุกขลักๆ อยู่ข้างใน
2797.486 -> รู้สึกตัวด้วยจิตใจปกติอย่างนี้
2801.486 -> เราจะเห็นจิตใจมันทำงานได้เอง
2803.856 -> เราเป็นแค่คนดูสบายๆ
2806.716 -> เบอร์ 2 ไม่สบายแล้ว เพลิดเพลินแล้ว
2809.616 -> อิ่มอกอิ่มใจแล้วไม่เห็นว่าอิ่มอกอิ่มใจ
2815.496 -> เบอร์ 3 สังเกตไหม จิตมันสงสัย
2819.496 -> เอ๊ะ เอาอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี
2823.266 -> รู้ทันมันเข้าไป
2825.266 -> มีอะไรเกิดขึ้น รู้อย่างที่มันรู้สึก
2830.446 -> คลายจิตจากตรงนี้อีกนิดหนึ่ง
2833.696 -> กลับมาเป็นจิตที่ปกติ
2838.206 -> จิตปกติมันสบาย อยู่ตรงนี้ล่ะ
2842.206 -> ฉะนั้นเวลาทำสมาธิ ใช้จิตปกตินี้ล่ะภาวนาไป
2847.626 -> มันรวม มันสงบ
2849.486 -> มันก็จะลงไปอย่างสง่าผ่าเผย สบาย
2854.436 -> ตรงนี้แกล้งๆ ทำเป็นนิ่มๆ เคลิ้มๆ
2859.486 -> ไม่แกล้ง ใช้จิตปกติ ตรงนี้ไม่ปกติ
2863.486 -> ไปแกล้งทำให้ซึมๆ ลงไป ทำให้เรียบร้อย
2869.306 -> เลิกคิด เลิกค้นคว้า รู้สึกตัว
2876.794 -> เออ รู้สึกตัวอย่างนี้
2880.474 -> แล้วจะเห็นร่างกายไม่ใช่เรา
2883.174 -> จิตใจก็ทำงานได้เอง
2887.174 -> เห็นไหม จิตมันเริ่มส่ายให้เห็นแล้ว
2895.713 -> มันส่ายออกไปแล้ว
2900.453 -> ถ้าเราไปนั่งเพ่งไว้อย่างนี้
2903.443 -> มันจะซื่อบื้อไป
2907.443 -> ใช้จิตปกติ
2911.443 -> คำถาม 4: หลวงพ่อเคยให้การบ้าน
2915.713 -> ให้เอาจิตไปจับอยู่ในช่องว่าง
2918.313 -> แล้วค่อยออกมาเดินปัญญา
2920.633 -> แต่เวลาที่เอาจิตไปแนบจับช่องว่าง
2923.573 -> จิตมันเข้าไม่ได้เหมือนเคย
2925.963 -> มันจะพลิกไปมาเป็นผู้ดูอยู่เรื่อยๆ
2929.763 -> เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เพ่ง เผลอ
2933.763 -> เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ตัวอยากมันเยอะ
2936.753 -> บางครั้งอยู่เฉยๆ จิตก็พลิกเป็นสมถะขึ้นมา
2940.753 -> สภาวะทุกอย่างไม่นานก็สลายไป
2943.851 -> รู้สึกจิตเป็นทุกข์มาก
2946.101 -> ช่วงที่จิตไม่มีกำลังก็ดูกายกับลมหายใจ
2949.871 -> พอมีกำลังค่อยกลับไปดูจิตต่อ
2952.781 -> ขอหลวงพ่อเมตตาแนะนำสิ่งที่ต้องปรับปรุงค่ะ
2956.781 -> หลวงพ่อให้ไปดูว่างๆ ทีแรก
2961.431 -> เพื่อจะให้จิตมันมีสมถะเท่านั้นเอง
2965.401 -> พอมันมีสมาธิแล้ว เราก็จะเห็นจิตใจมันทำงาน
2969.751 -> ร่างกายเคลื่อนไหว มันก็เห็น
2973.101 -> จิตมันเคยเดินปัญญา
2976.301 -> จะให้มันทำสมาธิมันจะไม่อยากทำ
2980.061 -> อย่างมันจะไปอยู่ในช่องว่าง คราวนี้ไม่ไปแล้ว
2983.861 -> มันไม่เอาอันโน้น เราก็มาอยู่กับลมหายใจ
2986.691 -> มาอยู่กับกาย มาอยู่กับพุทโธไป
2989.611 -> รู้สึกไปเรื่อยๆ ตรงนี้ก็เป็นที่พักได้
2996.701 -> พวกที่หลวงพ่อให้ไปดูช่องว่าง
2999.293 -> บางทีมันเกิดจากกลุ่มที่ดิ้นรนมาก
3002.923 -> ดิ้นรนค้นคว้าเยอะ
3005.263 -> ในกายนี้วุ่นวายมากอะไรอย่างนี้
3007.763 -> ให้หลบไปพักเสียหน่อย
3010.213 -> พอมันพักพอสมควรแล้ว
3012.633 -> มันออกมาเดินปัญญาต่อ
3015.083 -> ตอนที่มันออกมาเดินปัญญา
3017.393 -> มันจะไม่ค่อยยอมทำสมาธิแล้ว มันจะทิ้งสมถะ
3021.553 -> เราแบ่งเวลาไว้เลยทุกวัน
3024.336 -> มานั่งหายใจเข้าพุท หายใจออกโธทุกวันๆ
3028.956 -> ที่ไปดูช่องว่างอะไร มันเป็นแค่อุบาย
3032.646 -> ที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตอนนั้นเท่านั้นล่ะ
3036.296 -> เรามาอยู่กับลมหายใจ อยู่กับพุทโธของเราไป
3040.296 -> เป็นของหยาบๆ ดูง่าย
3048.166 -> แล้วจิตเราเป็นอย่างไรก็รู้ไป
3050.845 -> ถ้าจิตมันฟุ้งซ่าน เหน็ดเหนื่อย
3053.145 -> กลับมาอยู่กับลมหายใจ มาอยู่กับพุทโธ
3056.335 -> มันไม่ยอมอยู่ ก็ฝืนใจ
3059.035 -> ไม่เจริญปัญญา ไม่กลัวโง่ ไม่กลัวช้า
3063.035 -> กลับมาทำสมถะ
3065.245 -> หายใจเข้าพุท หายใจออกโธไปเรื่อยๆ
3068.747 -> จนกระทั่งใจมันสงบ ใจมันเชื่องแล้ว
3071.677 -> ก็ไปเดินปัญญาต่อ
3074.517 -> ตรงนี้จิตมันสมาธิไม่พอ
3078.207 -> มันก็จะเหน็ดเหนื่อย เบื่อหน่าย
ล้าอะไรพวกนี้
3083.557 -> ค่อยๆ ฝึกตัวเอง
3088.147 -> ลดจิตลงมา ยกจิตสูงเกินไป
3092.737 -> ลงมาอยู่กับโลกธรรมดา
3095.657 -> เออ อย่างนี้ ที่ตั้งไว้เมื่อกี้ไม่ถูก
3100.597 -> นี่อย่างนี้แล้วก็เห็นร่างกายหายใจไป
3103.505 -> ใจเป็นคนดู
3112.135 -> เออ ไปทำอย่างนี้ ทำไป
3116.222 -> คำถาม 5: เห็นสภาวธรรม จิตไหวๆ จิตถูกขัง
3121.982 -> เห็นความเป็นเราเกิดจากจิตขึ้นภวังค์
3125.982 -> มีลมหายใจ สังขารปรุงสัญญา เกิดเราขึ้น
3130.422 -> จนมาเจอบททดสอบทางโลก
3132.852 -> โดนรุมด่าหยาบคาย แต่ใจเราไม่โกรธ
3136.522 -> แต่สงสารที่เขาไม่รู้โทษของโทสะ
3139.362 -> มีสติยอมรับ จิตมันฝึกได้
3142.762 -> โยมขอการบ้านใหม่เจ้าค่ะ
3147.342 -> ก็ดีแล้ว
3151.072 -> ภาวนา ใจเราก็เป็นอิสระมากขึ้นๆ
3157.193 -> อย่างคนด่าเรา มันด่าประโยคเดียว
3161.193 -> เสียงด่ามันก็จบไปแล้ว
3164.463 -> เราไม่ไปคิดซ้ำ
3166.143 -> มันก็ไม่เป็นไร มันก็จบไปแล้ว
3168.783 -> แค่เสียงกระทบหู
3171.213 -> คนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ภาวนามันทำไม่ได้หรอก
3174.733 -> เขาด่า สมมติเขาด่าแม่เรา 1 คำ
3177.983 -> คำเดียว ครั้งเดียว
3181.212 -> คิดทุกวัน คิดวันหนึ่งหลายรอบเลย
3183.692 -> ก็เหมือนถูกด่าหลายรอบ
3186.342 -> เวียนซ้ำๆๆ อยู่อย่างนั้น
3187.992 -> จิตก็เศร้าหมองไปเรื่อยๆ
3190.742 -> ถ้าเรามีสติ มีปัญญา
3192.462 -> เราเห็นคำชมหรือคำด่ามันก็เหมือนลมพัด
3196.692 -> พัดผ่านต้นไม้ไหวๆ แล้วมันก็ผ่านไปแล้วก็จบ
3201.262 -> ให้มันจบจริงๆ เถอะ
3203.772 -> เราจะมีชีวิตที่เบา ชีวิตที่สบาย
3207.242 -> อย่างนั้นล่ะดีแล้ว
3209.482 -> แล้วการภาวนาเราก็มีสติคอยรู้เท่าทันตัวเอง
3213.482 -> จิตจะไปหลงใคร่ครวญอารมณ์ในอดีต
อย่างที่เขาด่า
3217.482 -> บางทีมันจะย้อนไปคิดอีก เราก็รู้ทัน
3221.682 -> นี่เธอจะแอบไปคิดอีกแล้ว
3223.902 -> ไม่ห้ามๆ
3226.512 -> ถ้าเธอจะคิดจริงๆ มีสติรู้ไป
3229.754 -> เห็น เออ นี่มันหาทุกข์ใส่ตัว
3232.684 -> ไม่มีใครทำความทุกข์ให้เธอเลย
3235.494 -> เธอทำความทุกข์ให้ตัวเธอเอง เห็นไหมตัวนี้
3239.494 -> คนอื่นทำความทุกข์ให้เราไม่ได้
3241.744 -> มันด่าเรา ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย
3244.484 -> แต่เราไปคิด มันก็เลยทุกข์เอง
3248.054 -> นี่ล่ะฝึกอยู่กับตัวเอง
3250.574 -> ไม่สนใจหรอกคำชมคำด่าข้างนอก
3253.194 -> เพราะเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็ไม่เป็นไร
3258.554 -> คำถาม 6: ผมตั้งใจรักษาศีลและภาวนาทุกวัน
3263.986 -> แต่ก็แพ้กิเลสบ่อย
3266.554 -> เวลาเดินจะฟุ้งมาก
3269.209 -> ผมจึงใช้คำบริกรรมที่ยาวขึ้น
3272.069 -> เวลานั่งผมจะหายใจเข้าพุธออกโธ
3275.775 -> แต่พอจิตเริ่มไหลจะเกิดนิมิตบ่อยครั้ง
3279.496 -> จิตมีความเคยชินที่จะไหลลงต่ำ
ฟุ้งและไม่ถึงฐาน
3284.776 -> ผมไม่แน่ใจที่ทำอยู่ต้องแก้ไขตรงไหนครับ
3288.256 -> เราก็เอาลมหายใจพุทโธเป็นที่พักที่อาศัย
3294.326 -> ต้องพึ่งมันก่อน อย่าเพิ่งทิ้ง
3298.207 -> แทนที่จะปล่อยใจให้ไหลลงต่ำ
3300.567 -> เราก็คิดถึง หายใจเข้าพุท หายใจออกโธไป
3305.874 -> ไม่ห้าม จิตอยากไหลไปไหนก็ช่าง
3308.754 -> แต่ฉันไม่สนใจหรอก
3310.724 -> ฉันสนใจอยู่ที่เดียว
3312.265 -> ตอนนี้คือหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
ทำไปเรื่อยๆ
3315.755 -> จิตจะได้มีกำลังขึ้นมา
3317.795 -> ไม่ต้องกลัวที่จิตจะไหล
3320.475 -> แต่ว่าอย่าไปสนใจที่มันไหล
3323.265 -> เอาแค่ว่าอยู่กับกรรมฐานของเราไป
3326.865 -> เดี๋ยวจิตก็จะมีกำลังขึ้นมา
3329.265 -> จิตยังไม่ค่อยมีแรง ไม่มีกำลัง
3332.755 -> เพราะฉะนั้นหายใจไป พุทโธไป
3338.745 -> พุทโธบางคนเขาก็ติเตียน
3342.745 -> พวกเรียนตำรามากๆ
3346.325 -> เขาบอกพุทโธใช้ทำกรรมฐานไม่ได้
3350.325 -> ทำวิปัสสนาไม่ได้
3353.175 -> ถ้าทำเป็นก็ใช้ได้ พุทโธคือจิต
3356.735 -> เราพุทโธแล้วเราก็รู้ทันจิตใจตัวเอง
ไปเรื่อยๆ
3360.005 -> ทำไมมันจะทำไม่ได้ ก็ทำได้
3363.637 -> แต่ว่าที่เราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
3366.737 -> ยังไม่ได้มุ่งมาที่ตัวจิต
3369.247 -> อันนั้นมุ่งไปที่สงบก่อน
3372.197 -> ฉะนั้นเราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
ทำไปเรื่อยๆ
3375.697 -> ตอนเด็กๆ หลวงพ่อหายใจเข้าพุทออกโธ นับ 1
3378.787 -> หายใจเข้าพุทออกโธ นับ 2 มีนับด้วย
3382.227 -> พอสงบการนับก็หาย พอสงบมากขึ้น พุทโธก็หาย
3386.377 -> พอสงบมากขึ้น ลมหายใจก็หาย
กลายเป็นแสงอย่างนี้
3390.727 -> เป็นเรื่องของการทำความสงบ
3393.307 -> จิตใจได้สงบได้พักแล้ว มาเจริญปัญญาต่อ
3396.767 -> หายใจอย่างเดิมนี่ล่ะ
3398.707 -> แล้วเห็นจิตมันเคลื่อนไปเคลื่อนมาๆ
3401.427 -> รู้ทันมัน
3402.707 -> จิตมันเคลื่อน เราไม่ได้เจตนา
3404.807 -> มันเคลื่อนได้เอง
3406.347 -> จิตไม่ใช่ตัวเรา ดูอย่างนี้ไป
3409.157 -> ดูไปจนกระทั่งรู้สึกเหนื่อย ไม่สนใจแล้ว
3411.997 -> จิตจะเป็นอย่างไร
3413.667 -> กลับมาอยู่หายใจเข้าพุทออกโธใหม่
3416.757 -> เดินไปอย่างนี้เรื่อยๆ
3419.237 -> สลับกันระหว่างสมถะกับวิปัสสนา
3422.347 -> ตอนไหนจิตมีกำลังตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู
3426.747 -> เราก็ดูอยู่ เห็นจิตมันเคลื่อนไปเคลื่อนมา
3430.497 -> หรือเห็นกายมันเคลื่อนไปเคลื่อนมา
3433.577 -> ตอนไหนจิตไม่มีกำลัง
3435.187 -> ก็มาอยู่กับลมหายใจ มาอยู่กับพุทโธ
3438.251 -> ทำอย่างนี้ ไปทำต่อ
3443.363 -> คำถาม 7: ทำในรูปแบบอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง
3449.553 -> และถือศีล 10 สัปดาห์ละ 1 วัน
3452.472 -> เพราะช่วยให้ภาวนาง่ายขึ้น
3462.508 -> เคยเดินดูกายและกำกับพุทโธ
3465.558 -> แต่พอป่วยและชอบดูละเอียดจึงหันมาดูลม
3469.558 -> เวลาฟุ้งเคยกำหนดกระดูกช่วย
3473.228 -> พอเห็นมันสลายเป็นผง
3475.278 -> ก็กำหนดกระดูกไม่ค่อยได้อีก
3477.824 -> ขอการบ้านที่เหมาะกับจริต
3479.804 -> เพื่อการภาวนาให้เจริญต่อไปค่ะ
3482.554 -> ไม่ต้องค้นคว้าเยอะหรอก
3485.274 -> เอาอะไรก็เอาสักอัน อยู่กับมันให้ได้
3489.874 -> เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ใจมันจะฟุ้ง
3493.223 -> กรรมฐานเราไม่เปลี่ยนบ่อยหรอก
3496.83 -> ฉะนั้นหายใจไป พุทโธไป
3499.62 -> จิตสงบ รู้ว่าสงบ
3501.51 -> หายใจไป พุทโธไป จิตฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน
3505.74 -> เอามันสักอันหนึ่ง
3507.44 -> เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดูยาก
3511.44 -> ทำได้ดี
3516.427 -> คำถาม 8: ทำในรูปแบบจะรู้สึกตัวทั่วพร้อม
3521.686 -> และทำความรู้สึกว่าจิตและร่างกาย
3525.207 -> เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
3528.217 -> เช่นเดียวกับสิ่งอื่นที่รับรู้ ณ ขณะปัจจุบัน
3532.217 -> แต่บางครั้งรู้สึกเหมือนจะติดเพ่งแยกไม่ออก
3536.512 -> เพราะจิตไม่ค่อยไหล
3538.252 -> แต่เมื่อเลิกทำในรูปแบบแล้วนอนลง
3541.252 -> กลับมีความตั้งมั่น
3542.752 -> และเห็นจิตไหลไปคิดชัดและรวดเร็ว
3545.942 -> แต่ไม่ค่อยเกิดในขณะทำในรูปแบบ
3548.612 -> ขอพระอาจารย์ชี้แนะครับ
3550.622 -> ทำในรูปแบบเราจงใจมากไป
3553.772 -> จิตมันก็เลยนิ่งๆ
3556.512 -> ตอนที่เราลงนอน เราหมดความตั้งใจที่จะทำ
3560.512 -> แต่จิตมันเคยปฏิบัติอยู่
3562.402 -> มันยังปฏิบัติของมันต่อ มันก็เลยถูก
3566.492 -> คือมันไม่มีโลภเจตนา
3569.872 -> มันคล้ายๆ พระอานนท์
3572.332 -> คืนก่อนสังคายนาท่านดูกายของท่านทั้งคืนเลย
3577.342 -> จิตก็รวมเป็นระยะๆๆ ไป ส่วนใหญ่ดูกาย
3582.312 -> ดูอย่างไรจนใกล้สว่างแล้ว
3584.592 -> ก็ไม่บรรลุพระอรหันต์
3586.682 -> ท่านก็เลย เออ มันไม่ได้แล้ว
ไม่ได้ก็ช่างมันแล้ว
3590.052 -> ถึงเวลาที่สมควรพักแล้ว ท่านก็เอนตัวลงนอน
3594.052 -> แต่ขณะนั้นสติ สมาธิ ปัญญาของท่าน
มันอัตโนมัติ
3598.052 -> หมดความจงใจที่จะทำ
3601.254 -> หมดโลภเจตนาที่จะทำ มันก็ทำได้
3606.424 -> เพราะฉะนั้นที่เราตื่นอยู่แล้ว
3608.774 -> เราทำไม่สำเร็จอะไรนี่
3610.684 -> เพราะจิตเรามีโลภเจตนามากไป
3613.364 -> อยากดี อยากปฏิบัติ
3615.554 -> พอจะลงนอน หมดความจงใจ มันก็เลยทำได้
3619.554 -> แต่คนถ้าไม่ฝึก ไม่พยายามฝึกตอนที่ตื่นๆ อยู่
3623.554 -> ลงนอนแล้วก็ทำไม่ได้ หลับไปเลย
3627.554 -> ที่ทำอยู่ก็ดี
3628.854 -> แต่คอยสังเกต อย่าทำเพราะอยาก
3633.274 -> อยากได้ผลอย่างโน้นอย่างนี้อะไรอย่างนี้
3636.084 -> ตัวนั้นล่ะที่ทำให้มันเครียด ไม่สงบ
3641.194 -> วันนี้สมควรแก่เวลา
3643.574 -> ภาวนาได้ดีทั้ง 8 คน
ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=nlmcaRQgnv8