
สักกปัญหสูตร (ท้าวสักกะจอมเทพและเทวดา ๘๐,๐๐๐ องค์ ได้ดวงตาเห็นธรรม ด้วยพระธรรมเทศนานี้)
สักกปัญหสูตร (ท้าวสักกะจอมเทพและเทวดา ๘๐,๐๐๐ องค์ ได้ดวงตาเห็นธรรม ด้วยพระธรรมเทศนานี้)
สักกปัญหสูตร พระไตรปิฎก ฉบับมหาเถรสมาคม ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่มที่ ๑๐ หน้า ๓๑๒-๓๔๖.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในถ้ำอินทสาละ ณ เวทิยกบรรพต แห่งพระนครราชคฤห์ ในแคว้นมคธ ฯ ก็สมัยนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพได้เข้าเฝ้าพร้อมด้วยอำมาตย์และบริวารจำนวนมาก ท้าวสักกะจอมเทพได้ทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้าหลังจากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบปัญหาของท้าวสักกะจอมเทพจบ ท้าวสักกะจอมเทพพร้อมด้วยเทวดา ๘๐,๐๐๐ องค์ได้ดวงตาเห็นธรรม ด้วยพระธรรมเทศนานี้
#พระไตรปิฎก
#พระสูตร
Content
19.62 -> ข้าพเจ้าขอวันทาพระสุคตเจ้าผู้มีความมืดคือโมหะ
อันกำจัดแล้วด้วยแสงสว่างคือปัญญา
29.485 -> หลุดพ้นแล้วจากคติทั้งปวง มีพระหฤทัยเยือกเย็น
ด้วยพระกรุณา
35.979 -> เป็นครูแห่งสัตว์โลก ทั้งมนุษย์และเทวดา
40 -> แม้องค์พระพุทธเจ้าทรงเข้าถึงซึ่งพระธรรมอันปราศจาก
มลทินใด จึงทรงทำให้เกิดและทำให้แจ้งซึ่งความเป็น
พระพุทธ ข้าพเจ้าขอวันทาพระธรรมอันเลิศนั้น
54.385 -> ข้าพเจ้าขอวันทาพระอริยสงฆ์คือ
ชุมนุมแห่งพระอริยบุคคลทั้ง ๘
61.32 -> ผู้เป็นบุตร เกิดแต่พระอุระแห่งพระสุคตเจ้า
ผู้ย่ำยีมารและเสนามารเสียได้
69.579 -> บุญอันสำเร็จด้วยการวันทาพระรัตนตรัยของ
ข้าพเจ้า ผู้มีใจเลื่อมใสดังนี้อันใด
77.878 -> ด้วยอนุภาพแห่งบุญนั้น ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้
มีอันตราย อันขจัดเสียได้ด้วยดีแล้ว
110.412 -> พระไตรปิฎกฉบับมหาเถระสมาคม
ทีฆนิกาย มหาวรรคเล่มที่ ๑๐ หน้า ๓๑๒
121.987 -> สักกปัญหสูตร ว่าด้วยท้าวสักกะทูลถามปัญหา
ภาณวาระที่ ๑ โดยย่อ
133.496 -> ท้าวสักกะจอมเทพทรงทราบว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า
140.752 -> ประทับอยู่ในถ้ำอินทสาละ ที่ภูเขาเวทิยกะ
146.162 -> จึงทรงชักชวนเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์ลงไปเฝ้า
151.517 -> โดยรับสั่งให้ปัญจสิขะ คันธรรพเทพบุตร
นำเสด็จ
156.927 -> เพราะเคยเข้าเฝ้ารับใช้
พระผู้มีพระภาคเจ้าบ่อยๆ
162.498 -> เมื่อเสด็จถึงถ้ำนั้น ทรงทราบว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า กำลังเข้าฌานอยู่
170.918 -> จึงรับสั่งให้ปัญจสิขะ คันธรรพเทพบุตร
เข้าไปบรรเลงเพลงถวายก่อน
178.375 -> ปัญจสิขะ คันธรรพเทพบุตร
รับสนองเทวบัญชาแล้ว
183.905 -> เข้าไปยืนในที่ไม่ใกล้นัก และ ไม่ไกลนัก
จากจุดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
191.602 -> โดยกะว่า เสียงพิณ และเสียงขับของตน
จะดังไปถึง
197.294 -> แล้วบรรเลงพิณพร้อมกับขับเพลงที่เกี่ยวเนื่องด้วย
พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และพระอรหันต์
208.081 -> ผสมผสานกับกามคุณ คือความรักของตน
ที่มีต่อเทพธิดาชื่อ ภัททาสุริยวัจฉสา
219.55 -> พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสชมเชย
ปัญจสิขะ คันธรรพเทพบุตรว่า
226.606 -> บรรเลงพิณและขับเพลงได้ดี
เสียงพิณกับเสียงเพลงเข้ากันได้ดีมาก
234.264 -> แล้วตรัสถามว่า เนื้อเพลงนั้นแต่งเมื่อไร
ปัญจสิขะ คันธรรพเทพบุตร กราบทูลว่า
243.085 -> แต่เมื่อพระองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ขณะประทับ
เสวยวิมุตติสุขอยู่ที่ต้นอชปาลนิโคตร
ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
253.791 -> แต่งเพราะ กำลังหลงรักเทพธิดาภัททาสุริยวัจฉสา
ธิดาของท้าวตุมพรุ หัวหน้าคนธรรพ์
265.015 -> ท้าวสักกะจอมเทพ เห็นได้โอกาส
จึงตรัสเรียก ปัญจสิขะ คันธรรพเทพบุตรมา
272.432 -> รับสั่ง ให้กราบทูลขออนุญาตเข้าเฝ้า ปัญจสิขะ
คันธรรพเทพบุตร ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว
283.179 -> ถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
291.277 -> ท้าวสักกะจอมเทพ พร้อมด้วยอำมาตย์
พร้อมด้วยบริษัท
296.688 -> ขอถวายอภิวาทพระยุคลบาทของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยเศียรเกล้า
303.342 -> พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่าปัญจสิขะ
ขอให้ท้าวสักกะจอมเทพ
310.798 -> พร้อมด้วยอำมาตย์ พร้อมด้วยบริษัท
จงมีความสุขเถิด
315.887 -> เพราะว่าพวกเทวดา มนุษย์ อสูร นาค
คนธรรพ์ และสัตว์เหล่าอื่นอีกจำนวนมาก
ต่างก็ปรารถนาความสุข
326.273 -> ท้าวสักกะจอมเทพ ผู้อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ประทานพรแล้ว
332.968 -> เสด็จเข้าไปอย่างถ้ำอินทสาละของพระผู้มีพระภาค
ถวายอภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง
342.792 -> แม้พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ก็เข้าไปยังถ้ำอินทสาละ
ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
ยืน ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง
355.264 -> เวลานั้นถ้ำอินทสาละซึ่งมี
พื้นไม่สม่ำเสมอ ก็สม่ำเสมอ
363.202 -> ที่คับแคบ ก็กลับกว้างขวาง
ความมืดในถ้ำหายไป เกิดความสว่างขึ้น
เพราะเทวานุภาพของเหล่าเทพ
374.35 -> ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสกับท้าวสักกะว่า
380 -> นี่เป็นเหตุน่าอัศจรรย์จริง
ไม่เคยปรากฏ ที่ท้าวโกสีย์มีกิจมาก
387.657 -> มีหน้าที่ที่จะต้องทำอีกมาก
เสด็จมาถึงที่นี้ได้
392.707 -> ท้าวสักกะจอมเทพกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
398.799 -> ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะมาเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้ามานานแล้ว
403.768 -> แต่มัวสาละวนกับกิจหน้าที่
ของพวกเราเทพชั้นดาวดึงส์
409.138 -> จึงไม่สามารถมาเข้าเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
413.986 -> ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
ณ สลฬาคาร เขตกรุงสาวัตถี
423.89 -> ข้าพระองค์ได้ไปยังกรุงสาวัตถี
เพื่อจะเข้าเฝ้าพระองค์
429.18 -> แต่ขณะนั้นพระองค์ประทับเข้าสมาธิอยู่
นางปริจาริกาของท้าวเวสสุวรรณมหาราช
436.597 -> ชื่อว่า ภุชคี คอยอุปัฏฐาก
นางยืนพนมมือ ถวายนมัสการอยู่
443.372 -> ขณะนั้น ข้าพระองค์จึงกล่าวกะนางว่า
น้องหญิง
447.739 -> เธอจงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตามคำของเราว่า ท้าวสักกะจอมเทพ
455.638 -> พร้อมด้วยอำมาตย์ พร้อมด้วยบริษัท
ขอถวายอภิวาทพระยุคลบาทของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า
465.542 -> เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้
นางตอบข้าพระองค์ดังนี้ว่า
470.913 -> ท่านผู้นิรทุกข์ เวลานี้ไม่ใช่เวลา
ที่จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
477.005 -> พระองค์ทรงหลีกเร้น เพียงลำพัง
480.289 -> ข้าพระองค์จึงสั่งว่า น้องหญิง ถ้าอย่างนั้น
คราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากสมาธิ
488.427 -> เธอจงถวายอภิวาทพระองค์
ตามคำขอของเราว่า
492.875 -> ท้าวสักกะจอมเทพ พร้อมด้วยอำมาตย์
พร้อมด้วยบริษัท ขอถวายอภิวาท พระยุคล
บาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยเศียรเกล้า
504.224 -> นางได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าหรือไม่
พระองค์ทรงระลึกถึงคำของนางได้อยู่หรือ
513.005 -> พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
เธอไหว้เราแล้ว เราระลึกถึงคำของเธอได้
520.301 -> และเราออกจากสมาธิ
เพราะเสียงล้อรถของพระองค์
525.752 -> เรื่องโคปกเทพบุตร
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกรุงกบิลพัสดุ์นี้
ได้มีศากยธิดานามว่า โคปิกา
538.224 -> ผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
เลื่อมใสในพระธรรม
เลื่อมใสในพระสงฆ์
544.959 -> ผู้รักษาศีลให้บริบูรณ์
หน่ายความรู้สึกเป็นหญิง
อบรมความรู้สึกเป็นชาย
552.416 -> หลังจากตายไปแล้ว
เกิดในสุคติโลกสวรรค์
556.462 -> ได้อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์
ได้เป็นบุตรของข้าพระองค์
562.434 -> ในที่นั้น พวกเทพรู้จักเธออย่างนี้ว่า
โคปกเทพบุตร
569.169 -> ภิกษุอื่นอีก ๓ รูปประพฤติพรหมจรรย์
ในพระผู้มีพระภาคเจ้า
575.221 -> ไปเกิดในหมู่คนธรรพ์ ซึ่งเป็นชั้นต่ำ
พวกคนธรรพ์นั้น เอิบอิ่ม พรั่งพร้อม
582.798 -> ได้รับการบำเรออยู่ด้วยกามคุณ ๕
มาสู่ที่บำรุงบำเรอของข้าพระองค์
589.532 -> โคปกเทพบุตร กล่าวเตือนพวกคนธรรพ์
ผู้ที่มายังที่บำรุง บำเรอของข้าพระองค์ว่า
597.911 -> ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย พวกท่านหันหน้าไปทางไหน
ทั้งที่ได้ฟังพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้ว
609.219 -> เราเป็นหญิง เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
เลื่อมใสในพระธรรม เลื่อมใสในพระสงฆ์
617.358 -> รักษาศีลให้บริบูรณ์ หน่ายความรู้สึกเป็นหญิง
อบรมความรู้สึกเป็นชาย
624.735 -> หลังจากตายแล้ว มาเกิดในสุคติโลกสวรรค์
ได้อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์
632.272 -> เป็นบุตรของท้าวสักกะจอมเทพ ในที่นี้
พวกเทพรู้จักเราอย่างนี้ว่า โคปกเทพบุตร
641.615 -> ส่วนพวกท่าน ประพฤติพรหมจรรย์ใน
พระผู้มีพระภาคเจ้า มาเกิดในหมู่คนธรรพ์
ซึ่งเป็นชั้นต่ำ
651.518 -> พวกเราได้เห็นผู้ประพฤติธรรม
ที่มาเกิดในหมู่คนธรรพ์ ซึ่งเป็นชั้นต่ำ
นับว่า ได้เห็นรูปที่ไม่น่าดูเลย
662.907 -> เมื่อพวกคนธรรพ์ ๓ ตน ถูกโคปกเทพบุตรตักเตือน
มีเทพ ๒ องค์ กลับได้สติในปัจจุบันทันที
674.095 -> แล้วไปเกิดในพรหมโลก ชั้นพรหมปุโรหิตา
ส่วนเทพอีกองค์หนึ่ง ยังคงอยู่ในกามภพ
683.157 -> ในบรรดาคนธรรพ์ ๓ ตนนั้น
๒ ตนรู้ธรรมอันใดของพระองค์แล้ว
690.253 -> ถึงความเป็นผู้วิเศษไปเกิดในหมู่พรหม
ชั้นปุโรหิตา บรรลุคุณวิเศษแล้ว
697.509 -> ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทานวโรกาส
ถึงพวกข้าพระองค์ ก็มาเพื่อบรรลุธรรมนั้น
705.888 -> หากพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประทานวโรกาส
ก็จะขอทูลถามปัญหา
712.783 -> ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระดำริว่า
ท้าวสักกะ ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์มาช้านาน
722.888 -> จะตรัสถามปัญหากับเรา
ก็จะตรัสถามทุกอย่าง ที่ประกอบด้วยประโยชน์
จะไม่ตรัสถามปัญหา ที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
733.274 -> และท้าวเธอ จะทรงเข้าใจที่เราตอบ
ได้ฉับพลันทีเดียว
739.126 -> จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสกับ
ท้าวสักกะจอมเทพ เป็นพระคาถาว่า
746.944 -> วาสวะ พระองค์ทรงปรารถนาสิ่งใดไว้ในพระทัย
ก็โปรดถามปัญหานั้นกับตถาคตเถิด
ตถาคตจะแก้ปัญหานั้นให้ถึงที่สุดแด่พระองค์
762.024 -> จบภาณวาระที่ ๑
770.604 -> พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแก้ปัญหาท้าวสักกะ
775.924 -> ท้าวสักกะจอมเทพ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงให้โอกาสแล้ว
782.659 -> ได้ทูลถามปัญหาข้อแรกกะ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ว่า
788.872 -> ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกเทวดา มนุษย์ อสูร
นาค คนธรรพ์ และชนเหล่าอื่นเป็นอันมากบรรดามี
800.622 -> มีอะไรเป็นเครื่องผูกพันใจไว้ พวกเขาย่อมปรารถนาว่า
ขอพวกเรา จงเป็นผู้ไม่มีความกระทบกระทั่ง
811.168 -> ไม่มีอาชญา ไม่มีศัตรู ไม่มีความพยาบาท
ไม่มีเวรอยู่เถิด
818.505 -> ก็พวกเขามีความปรารถนาอยู่ดังนี้
แต่ถึงจะปรารถนาอย่างนี้
824.998 -> พวกเขาก็ยังเป็นผู้มีความกระทบกระทั่ง มีอาชญา
มีศัตรู มีความพยาบาท ยังมีเวรกันอยู่
835.023 -> ท้าวสักกะจอมเทพได้ทูลถามปัญหากะ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการฉะนี้
842.881 -> พระผู้มีพระภาคเจ้าอันท้าวสักกะจอมเทพ
ทูลถามปัญหาแล้ว ทรงตอบว่า
850.779 -> ดูก่อนจอมเทพ พวกเทวดา มนุษย์ อสูร นาค
คนธรรพ์ และชนเหล่าอื่นเป็นอันมากบรรดามี
861.968 -> มีอิสสา (ความริษยา) และมัจฉริยะ (ความตระหนี่)
เป็นเครื่องผูกพันใจไว้ พวกเขาจึงปรารถนาว่า
874.52 -> ขอพวกเรา จงเป็นผู้ไม่มีความกระทบกระทั่ง ไม่มีอาชญา
ไม่มีศัตรู ไม่มีความพยาบาท ไม่มีเวรอยู่เถิด
886.431 -> ก็พวกเขามีความปรารถนาอยู่ดังนี้
แต่ถึงจะปรารถนาอย่างนี้
892.805 -> พวกเขาก็ยังเป็นผู้มีความกระทบกระทั่ง มีอาชญา
มีศัตรู มีความพยาบาท ยังมีเวรกันอยู่
903.351 -> พระผู้มีพระภาคเจ้า อันท้าวสักกะจอมเทพ
ทูลถามปัญหาแล้ว ทรงตอบด้วยประการฉะนี้
912.533 -> ท้าวสักกะจอมเทพทรงดีพระทัย ชื่นชม
อนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
921.394 -> ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
ข้าแต่พระสุคตเจ้า ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
930.576 -> ในข้อนี้ ข้าพระองค์พ้นความสงสัยแล้ว
ปราศจากถ้อยคำที่จะพูดว่าอย่างไรแล้ว
939.646 -> เพราะได้ฟังการตอบปัญหาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
944.576 -> ท้าวสักกะจอมเทพ ครั้นทรงชื่นชม อนุโมทนาพระภาษิต
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าในปัญหาพยากรณ์ข้อแรกดังนี้แล้ว
956.246 -> จึงได้ทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้า
ยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์
964.746 -> ก็ความริษยาและความตระหนี่มีอะไรเป็นต้นเหตุ
มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด
976.565 -> เมื่ออะไรมี ความริษยาและความตระหนี่จึงมี
เมื่ออะไรไม่มี ความริษยาและความตระหนี่จึงไม่มี
987.914 -> ดูก่อนจอมเทพ ความริษยาและความตระหนี่
มีอารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักเป็นต้นเหตุ
เป็นเหตุเกิด เป็นกำเนิด เป็นแดนเกิด
1003.328 -> เมื่ออารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก มีอยู่
ความริษยาและความตระหนี่ ก็มี
1012.443 -> เมื่ออารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก ไม่มี
ความริษยาและความตระหนี่ ก็ไม่มี
1021.745 -> ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์
อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก มีอะไรเป็นต้นเหตุ
มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด
1037.186 -> เมื่ออะไรมี อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก จึงมี
เมื่ออะไรไม่มี อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก จึงไม่มี
1050.822 -> ดูก่อนจอมเทพ อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก
มีฉันทะ (คือความพอใจ) เป็นต้นเหตุ เป็นเหตุเกิด
เป็นกำเนิด เป็นแดนเกิด
1066.183 -> เมื่อฉันทะ (ความพอใจ) มี
อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก ก็มี
1074.343 -> เมื่อฉันทะ (ความพอใจ) ไม่มี
อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก ก็ไม่มี
1083.25 -> ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ฉันทะ (ความพอใจ)
มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด
มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด
1096.365 -> เมื่ออะไรมี ฉันทะ (ความพอใจ) จึงมี
เมื่ออะไรไม่มี ฉันทะ (ความพอใจ) จึงไม่มี
1105.788 -> ดูก่อนจอมเทพ ฉันทะ (ความพอใจ)
มีวิตก (ความตรึก) เป็นต้นเหตุ เป็นเหตุเกิด
เป็นกำเนิด เป็นแดนเกิด
1118.38 -> เมื่อวิตก (ความตรึก) มี ฉันทะ (ความพอใจ) ก็มี
เมื่อวิตก (ความตรึก) ไม่มี ฉันทะ (ความพอใจ) ก็ไม่มี
1130 -> ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ วิตก (ความตรึก)
มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด
มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด
1144.478 -> เมื่ออะไรมี วิตก (ความตรึก) จึงมี
เมื่ออะไรไม่มี วิตก (ความตรึก) จึงไม่มี
1154.583 -> ดูก่อนจอมเทพ วิตก (ความตรึก) มีส่วนแห่งสัญญา
อันประกอบด้วย ปปัญจธรรม (ธรรมเครื่องเนิ่นช้า)
เป็นต้นเหตุ เป็นเหตุเกิด เป็นกำเนิด เป็นแดนเกิด
1172.351 -> เมื่อส่วนแห่งสัญญาอันประกอบด้วย ปปัญจธรรม
มีวิตก (ความตรึก) ก็มี
1180.169 -> เมื่อส่วนแห่งสัญญาอันประกอบด้วย ปปัญจธรรม
ไม่มีวิตก (ความตรึก) ก็ไม่มี
1188.509 -> ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็ภิกษุปฏิบัติอย่างไร
จึงจะชื่อว่า ดำเนินปฏิปทาอันสมควรที่จะให้ถึง
ความดับส่วนแห่งสัญญาอันประกอบด้วย ปปัญจธรรม
1205.595 -> เรื่อง เวทนากรรมฐาน
1209.762 -> พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า
ดูก่อนจอมเทพ
1216.778 -> ตถาคตกล่าวถึงโสมนัส โดยแยกเป็น ๒ คือ
ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1227.364 -> กล่าวถึงโทมนัส โดยแยกเป็น ๒ คือ
ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1236.506 -> และกล่าวถึงอุเบกขา โดยแยกเป็น ๒ คือ
ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1245.969 -> ดูก่อนจอมเทพ ตถาคดกล่าวถึง โสมนัส โดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1258.201 -> ก็ที่กล่าวถึงโสมนัสดังนี้ กล่าวเพราะอาศัยอะไร
ในโสมนัส ๒ อย่างนั้น
1266.22 -> บุคคลทราบโสมนัสอันใดว่า เมื่อเราเสพโสมนัสนี้
อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป
โสมนัสเห็นปานนี้ ไม่ควรเสพ
1280.281 -> บุคคลทราบโสมนัสอันใดว่า เมื่อเราเสพโสมนัสนี้
อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น
โสมนัสเห็นปานนี้ ควรเสพ
1294.278 -> ในโสมนัสทั้ง ๒ อย่างนั้น โสมนัสที่มีวิตก มีวิจาร ก็มี
ที่ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ก็มี ใน ๒ อย่างนั้น
โสมนัสที่ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ประณีตกว่า
1313.09 -> ดูก่อนจอมเทพ ตถาคตกล่าวถึงโสมนัสโดยแยก
ออกเป็น ๒ คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี ฉะนี้แล
ที่กล่าวถึงโสมนัสดังนี้ กล่าวเพราะอาศัยข้อนี้
1331.139 -> ดูก่อนจอมเทพ ตถาคตกล่าวถึงโทมนัสโดยแยก
เป็น ๒ คือที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1343.662 -> ที่กล่าวถึงโทมนัสดังนี้ กล่าวเพราะ
อาศัยอะไร ในโทมนัส ๒ อย่างนั้น
1352.283 -> บุคคลทราบโทมนัสอันใดว่า
เมื่อเราเสพโทมนัสนี้ อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป
โทมนัสเห็นปานนี้ ไม่ควรเสพ
1366.08 -> บุคคลทราบโทมนัสอันใดว่า
เมื่อเราเสพโทมนัสนี้ อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น
โทมนัสเห็นปานนี้ ควรเสพ
1380 -> ในโทมนัส ๒ อย่างนั้น โทมนัสที่มีวิตก มีวิจาร ก็มี
ที่ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ก็มี ใน ๒ อย่างนั้น
โทมนัสที่ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ประณีตกว่า
1397.809 -> ดูก่อนจอมเทพ ตถาคตกล่าวโทมนัสโดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี ฉะนี้แล
ที่กล่าวถึงโทมนัสดังนี้ กล่าวเพราะอาศัยข้อนี้
1414.983 -> ดูก่อนจอมเทพ ตถาคตกล่าวถึง อุเบกขาโดยแยก
เป็น ๒ คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1426.813 -> ที่กล่าวถึงอุเบกขาดังนี้ กล่าวเพราะอาศัยอะไร
ในอุเบกขา ๒ อย่างนั้น
1434.551 -> บุคคลทราบอุเบกขาอันใดว่า เมื่อเราเสพอุเบกขานี้
อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป
อุเบกขาเห็นปานนี้ ไม่ควรเสพ
1449.029 -> บุคคลทราบอุเบกขาอันใดว่า เมื่อเราเสพอุเบกขานี้
อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น
อุเบกขาเห็นปานนี้ ควรเสพ
1463.548 -> ในอุเบกขา ๒ อย่างนั้น อุเบกขาที่มีวิตก มีวิจาร ก็มี
ที่ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ก็มี
ใน ๒ อย่างนั้น อุเบกขาที่ไม่มี ไม่มีวิจาร ประณีตกว่า
1482.293 -> ดูก่อนจอมเทพ ตถาคตกล่าวถึงอุเบกขาโดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี ฉะนี้แล
ที่กล่าวถึงอุเบกขาดังนี้ กล่าวเพราะอาศัยข้อนี้
1500.704 -> ดูก่อนจอมเทพ ภิกษุผู้ปฏิบัติอย่างนี้แล จึงจะชื่อว่า
ดำเนินปฏิปทาอันสมควรที่จะให้ถึงความดับส่วน
แห่งสัญญาอันประกอบด้วย ปปัญจธรรม
1517.469 -> พระผู้มีพระภาคเจ้าอันท้าวสักกะจอมเทพทูลถาม
ปัญหาแล้ว ทรงตอบด้วยประการฉะนี้
1527.011 -> ท้าวสักกะจอมเทพ ทรงดีพระทัย ชื่นชมอนุโมทนา
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
1537.097 -> ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
ข้าแต่พระสุคต ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
1546.64 -> ในข้อนี้ ข้าพระองค์พ้นความสงสัยแล้ว
ปราศจากถ้อยคำที่จะพูดว่า อย่างไรแล้ว
เพราะได้ฟังการตอบปัญหาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
1560.356 -> เรื่อง ปาฏิโมกข์สังวร
1564.162 -> ท้าวสักกะจอมเทพ ครั้นทรงชื่นชม อนุโมทนา
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในปัญหาพยากรณ์ข้อนี้ ดังนี้แล้ว
1576.353 -> จึงได้กราบทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้ายิ่งขึ้นไปว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็ภิกษุปฏิบัติอย่างไร จึงจะชื่อว่า
ปฏิบัติเพื่อความสำรวมในพระปาติโมกข์
1593.721 -> พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า ดูก่อนจอมเทพ
ตถาคตกล่าวถึง กายสมาจาร โดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1609.799 -> กล่าวถึง วจีสมาจาร โดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1619.302 -> และกล่าวถึง การแสวงหา โดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1628.564 -> ดูก่อนจอมเทพ ตถาคตกล่าวถึง กายสมาจาร โดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1640 -> ก็ที่กล่าวถึง กายสมาจาร ดังนี้ กล่าวเพราะอาศัยอะไร
ในกายสมาจาร ๒ อย่างนั้น
1648.981 -> บุคคลทราบ กายสมาจารอันใดว่า เมื่อเราเสพกายสมาจารนี้
อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป
กายสมาจารเห็นปานนี้ ไม่ควรเสพ
1664.703 -> บุคคลทราบ กายสมาจารอันใดว่า เมื่อเราเสพกายสมาจารนี้
อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น
กายสมาจารเห็นปานนี้ ควรเสพ
1680.666 -> ดูก่อนจอมเทพ ตถาคตกล่าวถึงกายสมาจารโดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี ฉะนี้แล
ที่กล่าวถึง กายสมาจารดังนี้ กล่าวเพราะอาศัยข้อนี้
1700 -> ดูก่อนจอมเทพ ตถาคตกล่าวถึง วจีสมาจารโดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1712.134 -> ก็ที่กล่าวถึง วจีสมาจารดังนี้ กล่าวเพราะอาศัยอะไร
ในวจีสมาจาร ๒ อย่างนั้น
1720.912 -> บุคคลทราบ วจีสมาจารอันใดว่า เมื่อเราเสพวจีสมาจารนี้
อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป
วจีสมาจารเห็นปานนี้ ไม่ควรเสพ
1736.635 -> บุคคลทราบ วจีสมาจารอันใดว่า เมื่อเราเสพวจีสมาจารนี้
อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น
วจีสมาจารเห็นปานนี้ ควรเสพ
1753.039 -> ดูก่อนจอมเทพ ตถาคตกล่าวถึงวจีสมาจารโดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี ฉะนี้แล
ที่กล่าวถึง วจีสมาจารดังนี้ กล่าวเพราะอาศัยข้อนี้
1771.693 -> ดูก่อนจอมเทพ ตถาคตกล่าวถึง การแสวงหาโดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1783.997 -> ก็ที่กล่าวถึง การแสวงหาดังนี้ กล่าวเพราะอาศัยอะไร
ในการแสวงหา ๒ อย่างนั้น
1793.391 -> บุคคลทราบ การแสวงหาอันใดว่า เมื่อเราเสพการแสวงหานี้
อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป
การแสวงหาเห็นปานนี้ ไม่ควรเสพ
1808.942 -> บุคคลทราบ การแสวงหาอันใดว่า เมื่อเราเสพการแสวงหานี้
อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น
การแสวงหาเห็นปานนี้ ควรเศษ
1824.64 -> ดูก่อนจอมเทพ ตถาคตกล่าวการแสวงหาโดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี ฉะนี้แล
1837.469 -> ที่กล่าวถึง การแสวงหาดังนี้ กล่าวเพราะอาศัยข้อนี้
ภิกษุผู้ปฏิบัติอย่างนี้แล จึงจะชื่อว่าปฏิบัติแล้วเพื่อ
ความสำรวมในพระปาติโมกข์
1853.854 -> ท้าวสักกะจอมเทพ ทรงดีพระทัย ชื่นชม อนุโมทนา
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
1863.249 -> ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
ข้าแต่พระสุคต ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
1873.007 -> ในข้อนี้ ข้าพระองค์พ้นความสงสัยแล้ว
ปราศจากถ้อยคำที่จะพูดว่า อย่างไรแล้ว
1882.28 -> เพราะได้ฟังการตอบปัญหาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
1886.866 -> เรื่อง อินทรีย์สังวร
1890.24 -> ท้าวสักกะจอมเทพ ตรั้นทรงชื่นชม อนุโมทนา
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในปัญหาการพยากรณ์ข้อนี้ ดังนี้แล้ว
1901.695 -> จึงได้ทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้า
ยิ่งขึ้นไปว่า
1907.574 -> ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็ภิกษุปฏิบัติอย่างไร
จึงจะชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสำรวมอินทรีย์
1918.908 -> พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า
ดูก่อนจอมเทพ ตถาคตกล่าวถึง รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ
โดยแยกเป็น ๒ คือที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1936.99 -> กล่าวถึง เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสตะโดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1948.284 -> กล่าวถึง กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะโดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1959.699 -> กล่าวถึง รสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหาโดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1971.154 -> กล่าวถึง โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกายโดยแยกเป็น ๒
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1983.337 -> กล่าวถึง ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนโดยแยกเป็น ๒
คือที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี
1994.994 -> เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว
ท้าวสักกะจอมเทพ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
2005.763 -> ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมทราบเนื้อความ
แห่งพระภาษิตที่ตรัสโดยย่อนี้ ได้โดยพิสดารอย่างนี้ว่า
2017.01 -> เมื่อบุคคลเห็นรูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ เห็นปานใด
อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป
รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ เห็นปานนี้ ไม่ควรเสพ
2032.748 -> เมื่อบุคคลเห็นรูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุเห็นปานใด
อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น
รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุเห็นปานนี้ ควรเสพ
2048.002 -> เมื่อบุคคลฟังเสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสตะเห็นปานใด
อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป
เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสตะเห็นปานนี้ ไม่ควรเสพ
2063.539 -> เมื่อบุคคลฟังเสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสตะเห็นปานใด
อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น
เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสตะเห็นปานนี้ ควรเสพ
2080 -> เมื่อบุคคลสูดดมกลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะเห็นปานใด
อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป
กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะเห็นปานนี้ ไม่ควรเสพ
2096.627 -> เมื่อบุคคลสูดดมกลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะเห็นปานใด
อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น
กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะเห็นปานนี้ ควรเสพ
2112.891 -> เมื่อบุคคลลิ้มรสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหาเห็นปานใด
อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป
รสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหาเห็นปานนี้ ไม่ควรเสพ
2129.397 -> เมื่อบุคคลลิ้มรสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหาเห็นปานใด
อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น
รสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหาเห็นปานนี้ ควรเสพ
2145.54 -> เมื่อบุคคลถูกต้องโผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกายเห็นปานใด
อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป
โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกายเห็นปานนี้ ไม่ควรเสพ
2163.38 -> เมื่อบุคคลถูกต้องโผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกายเห็นปานใด
อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น
โผฏฐัพพระที่พึงรู้แจ้งด้วยกายเห็นปานนี้ ควรเสพ
2180.734 -> เมื่อบุคคลรับรู้ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนเห็นปานใด
อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป
ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนเห็นปานนี้ ไม่ควรเสพ
2197.806 -> เมื่อบุคคลรับรู้ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนเห็นปานใด
อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น
ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนเห็นปานนี้ ควรเสพ
2213.989 -> ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทราบเนื้อความ
แห่งพระภาษิตที่ตรัสโดยย่อนี้ ได้โดยพิสดารอย่างนี้
2223.747 -> ในข้อนี้ ข้าพระ องค์พ้นความสงสัยแล้ว
ปราศจากถ้อยคำที่จะพูดว่าอย่างไรแล้ว
เพราะได้ฟังการพยากรณ์ปัญหาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
2236.98 -> ท้าวสักกะจอมเทพ ครั้นนทรงชื่นชม อนุโมทนาพระภาษิต
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในปัญหาพยากรณ์ข้อนี้ ดังนี้แล้ว
2249.809 -> จึงได้ทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้า
ยิ่งขึ้นไปว่า
2255.203 -> ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ สมณพราหมณ์ทั้งหมด
มีวาทะเป็นอย่างเดียวกัน มีศีลเป็นอย่างเดียวกัน
2266.375 -> มีฉันทะเป็นอย่างเดียวกัน
มีความยึดถือเป็นอย่างเดียวกัน หรือหนอ
2273.87 -> พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า
ดูก่อนจอมเทพ สมณพราหมณ์ทั้งหมด
2282.295 -> มีวาทะเป็นอย่างเดียวกัน
มีศีลเป็นอย่างเดียวกัน
2286.801 -> มีฉันทะเป็นอย่างเดียวกัน
มีความยึดถือเป็นอย่างเดียวกัน หามิได้
2293.892 -> ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็เพราะเหตุไร
สมณพราหมณ์ทั้งหมด จึงไม่มีว่าทะเป็นอย่างเดียวกัน
2303.852 -> ไม่มีศีลเป็นอย่างเดียวกัน ไม่มีฉันทะเป็นอย่างเดียวกัน
ไม่มีความยึดถือเป็นอย่างเดียวกัน
2312.358 -> ดูก่อนจอมเทพ โลกมีธาตุเป็นอันมาก มีธาตุต่างกัน
ในโลกที่มีธาตุเป็นอันมาก มีธาตุต่างกันนั้น
2325.147 -> สัตว์ทั้งหลายยึดมั่นธาตุใดๆ อยู่
ย่อมยึดมั่นธาตุนั้นๆ ด้วยเรี่ยวแรง และความยึดถือ
แล้วกล่าวว่า สิ่งนี้แหละจริง สิ่งอื่นเปล่า
2339.835 -> เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหมด
จึงไม่มีวาทะถ้าเป็นอย่างเดียวกัน
ไม่มีศีลเป็นอย่างเดียวกัน
2349.229 -> ไม่มีฉันทะเป็นอย่างเดียวกัน
ไม่มีความยึดถือเป็นอย่างเดียวกัน
2355.755 -> ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ สมณพราหมณ์ทั้งหมด
มีความสำเร็จถึงที่สุด มีความเกษมจากโยคะถึงที่สุด
มีพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดถึงที่สุดหรือหนอ
2372.907 -> ดูก่อนจอมเทพ สมณพราหมณ์ทั้งหมด
จะมีความสำเร็จถึงที่สุด มีความเกษมจากโยคะถึงที่สุด
มีพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดถึงที่สุด หาไม่ได้
2390.464 -> ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็เพราะเหตุไร
สมณพราหมณ์ทั้งหมด จึงมีความสำเร็จถึงที่สุด
2401.879 -> มีความเกษมจากโยคะถึงที่สุด มีพรหมจรรย์ถึงที่สุด
มีที่สุดถึงที่สุด ไม่ ได้
2410.829 -> ดูก่อนจอมเทพ
ภิกษุเหล่าใดน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา
ภิกษุเหล่านั้นย่อมมีความสำเร็จถึงที่สุด
2423.578 -> มีความเกษมจากโยคะถึงที่สุด
มีพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดถึงที่สุด
2432.084 -> เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์จึง
มีความสำเร็จถึงที่สุด มีนายเกษมจากโยคะถึงที่สุด
มีพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดถึงที่สุด ไม่ได้
2447.055 -> พระผู้มีพระภาคเจ้าอันท้าวสักกะจอมเทพ
ทูลถามปัญหาแล้ว ทรงตอบด้วยประการฉะนี้
2456.006 -> ท้าวสักกะจอมเทพ ทรงดีพระทัย ชื่นชม อนุโมทนา
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
2464.754 -> ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
ข้าแต่พระสุคต ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
2472.694 -> ในข้อนี้ ข้าพระองค์ข้ามความสงสัยแล้ว
ปราศจากถ้อยคำที่จะพูดว่าอย่างไรแล้ว
เพราะได้ฟังการตอบปัญหาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
2485.725 -> ท้าวสักกะจอมเทพ ครั้นทรงชื่นชม อนุโมทนา พระภาษิต
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าในปัญหาพยากรณ์ข้อนี้ ดังนี้แล้ว
2497.221 -> ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
2502.817 -> ตัณหาเป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร
ย่อมฉุดคร่าบุรุษไป เพื่อบังเกิดในภพนั้นๆ
เพราะฉะนั้น บุรุษนี้จึงถึงอาการขึ้นๆลงๆ
2518.435 -> ปัญหาใดๆ ข้าพระองค์ไม่ได้แม้เพียงการให้โอกาส
ในสมณพราหมณ์เหล่าอื่นนอกพระธรรมวินัยนี้
2527.91 -> ปัญหานั้นๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงเห็นการณ์ไกล
ได้ทรงพระกรุณาตอบแก่ข้าพระองค์แล้ว
2537.871 -> และลูกศร คือ ความสงสัย เคลือบแคลงของข้าพระองค์
พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงพระกรุณาถอนขึ้นแล้ว
2548.882 -> ดูก่อนจอมเทพ พระองค์ยังทรงจำได้หรือว่า
เคยตรัสถามปัญหาเหล่านี้ กะสมณพราหมณ์เหล่าอื่น
2558.923 -> ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ยังจำได้ว่าเคยถาม
ปัญหาเหล่านี้กะสมณพราหมณ์เหล่าอื่น
2568.237 -> ดูก่อนจอมเทพ ก็สมณพราหมณ์เหล่าอื่น
ตอบว่าอย่างไรเล่า ถ้าพระองค์ไม่หนักพระทัย
ก็จงตรัสบอกเถิด
2579.328 -> ข้าพระองค์ไม่มีความหนักใจ ในสถานที่ที่พระองค์
และท่านที่เป็นอย่างพระองค์ประทับนั่งอยู่แล้ว
2589.208 -> ถ้าเช่นนั้น ก็ตรัสบอกเถิด
2593.026 -> ข้าพระองค์เข้าใจสมณพราหมณ์เหล่าใด
ว่าเป็นสมณพราหมณ์ผู้อยู่ป่า มีเสนาสนะอันสงัด
2601.855 -> ข้าพระองค์จะเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้น
แล้วถามปัญหาเหล่านี้
2608.017 -> ท่านเหล่านั้น ถูกข้าพระองค์ถามปัญหาแล้ว ก็แก้ไม่ได้
เมื่อแก้ไม่ได้ ก็ย้อนถามข้าพระองค์ว่า
2617.21 -> ท่านชื่ออะไร ข้าพระองค์ถูกท่านเหล่านั้นถาม
จึงตอบว่า ข้าพเจ้า คือ ท้าวสักกะจอมเทพ
2625.998 -> ท่านเหล่านั้นยังสอบถามข้าพระองค์ต่อไปว่า
ท่านทำกรรมอะไรไว้ จึงลุถึงฐานะนี้ได้
2634.665 -> ข้าพระองค์จึงได้แสดงธรรม ตามที่ได้ฟังมา
ตามที่ได้เรียนมา แก่ท่านเหล่านั้น
2642.363 -> ท่านเหล่านั้นดีใจ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ว่า
พวกเราได้เห็นท้าวสักกะจอมเทพ
และท้าวเธอได้ตอบปัญหาที่พวกเราได้ถามแล้ว
2654.788 -> เป็นของแน่นอนที่
ท่านเหล่านั้นกลับเป็นสาวกของข้าพระองค์
และข้าพระองค์หาได้เป็นสาวกของท่านเหล่านั้นไม่
2664.829 -> ก็ข้าพระองค์เป็นสาวกของพระองค์
เป็นโสดาบัน มีความเป็นผู้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
เป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะตรัสรู้ในภายหน้า
2676.89 -> เรื่อง การได้รับความโสมนัส
2681.395 -> พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถามว่า ดูก่อนจอมเทพ
พระองค์ยังทรงจำได้ไหมถึงการที่ได้รับความยินดี
การได้รับความโสมนัสเห็นปานนี้ ก่อนหน้านี้
2696.77 -> ท้าวสักกะจอมเทพ กราบทูลว่า ข้าพระองค์ยังจำได้
ถึงการได้รับความยินดี การได้รับความโสมนัส
เห็นปานนี้ ก่อนหน้านี้
2709.073 -> พระองค์ยังทรงจำได้ถึงการได้รับความยินดี การได้รับ
ความโสมนัสเห็นปานนี้ ก่อนหน้านี้ อย่างไรเล่า
2720.206 -> ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว
สงครามระหว่างเทพและอสูรได้ประชิดกันแล้ว
ก็ในสงครามคราวนั้น พวกเทพชนะ พวกอสูรแพ้
2736.147 -> เมื่อข้าพระองค์ชนะสงครามนั้นแล้ว ได้มีความดำริ
อย่างนี้ว่าบัดนี้พวกเทพในเทวโลกนี้จักบริโภค
โอชา ๒ อย่างคือ ทิพยโอชาและอสุรโอชา
2753.583 -> ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การได้รับความยินดี
การได้รับความโสมนัสของข้าพระองค์นั้น
2761.757 -> ได้มีพร้อมกับ การใช้อาชญา พร้อมกับการถือศาสตรา
ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด
2772.04 -> เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อความตรัสรู้ เพื่อพระนิพพาน
2780.667 -> ส่วนการได้รับความยินดี การได้รับความโสมนัสของ
ข้าพระองค์ เพราะได้ฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
2790.304 -> ไม่ได้มีพร้อมกับการใช้อาชญา
ไม่ได้มีพร้อมกับการถือศาสตรา
2796.992 -> ย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด
เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อความตรัสรู้ เพื่อพระนิพพานโดยส่วนเดียว
2810.75 -> ดูก่อนจอมเทพ ก็พระองค์ทรงเห็นอำนาจประโยชน์
อย่างไรเล่า จึงทรงประกาศถึงการได้รับความยินดี
การได้รับความโสมนัสเห็นปานนี้
2822.932 -> ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ข้าพระองค์เห็นอำนาจ
ประโยชน์ ๖ ประการ จึงประกาศถึงการได้รับ
ความยินดี การได้รับความโสมนัสเห็นปานนี้ คือ
2836.488 -> ข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์ประการที่ ๑ อย่างนี้ว่า
เมื่อเราเป็นเทพดำรงอยู่ในภพดาวดึงส์นี้ เรากลับได้
อายุเพิ่มขึ้นอีก
2848.59 -> ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ท่านจงทราบอย่างนี้เถิด
จึงประกาศถึงการได้รับความยินดี การได้รับ
ความโสมนัสเห็นปานนี้
2860.853 -> ข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์ประการที่ ๒ อย่างนี้ว่า
เราละอายุทิพย์ จุติจากกายทิพย์แล้ว จักเป็นผู้ไม่หลง
เข้าสู่ครรภ์ ในตระกูลที่ใจของเรายินดี
2876.874 -> จึงประกาศถึงการได้รับความยินดี
การได้รับความโสมนัสเห็นปานนี้
2883.763 -> ข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์ประการที่ ๓ อย่างนี้ว่า
เรานั้นเมื่ออยู่ในศาสนาของท่านที่มิได้หลงปัญหา
ก็จะยินดี มีสัมปชัญญะ มีสติมั่นคง อยู่โดยธรรม
2900.956 -> จึงประกาศการได้รับการยินดี
การได้รับความโสมนัส เห็นปานนี้
2907.32 -> ข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์ประการที่ ๔ อย่างนี้ว่า
ในภายหน้า ถ้าความตรัสรู้จักมีแก่เราโดยธรรมไซร้
เราจักเป็นผู้รู้ทั่วถึงอยู่ นั่นแหละจักเป็นที่สุดของเรา
2924.311 -> จึงประกาศถึง การได้รับความยินดี
การได้รับความโสมนัส เห็นปานนี้
2931.564 -> ข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์ประการที่ ๕ อย่างนี้ว่า
ถ้าเราละอายุมนุษย์ จุติจากกายมนุษย์แล้ว ก็จะกลับเป็น
เทพผู้สูงสุดในเทวโลกอีก
2946.131 -> จึงประกาศถึง การได้รับความยินดี
การได้รับความโสมนัส เห็นปานนี้
2952.98 -> ข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์ประการที่ ๖ อย่างนี้ว่า
เหล่าเทพชั้นอกนิฏฐาเหล่านั้น เป็นผู้มียศ ประณีตกว่า
เมื่อภพที่สุดเป็นไปอยู่ ที่อยู่นั้นก็จะเป็นของเรา
2970 -> จึงประกาศ การได้รับความยินดี
การได้รับความโสมนัส เห็นปานนี้
2977.011 -> ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์ ๖
ประการนี้แล จึงประกาศถึงการได้รับความยินดี
การได้รับความโสมนัส เห็นปานนี้
2991.295 -> ข้าพระองค์มีความดำริยังไม่ถึงที่สุด
ยังมีความสงสัยเคลือบแคลง จึงเที่ยว
เสาะแสวงหาพระตถาคตอยู่ตลอดกาลนาน
3002.832 -> ข้าพระองค์ สำคัญสมณะเหล่าใด ซึ่งเป็นผู้มีปกติ
อยู่เงียบสงัด เข้าใจว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็เข้าไปหาสมณะเหล่านั้น
3015.499 -> ท่านเหล่านั้น ถูกข้าพระองค์ถามว่า ความพอใจเป็นอย่างไร
ความไม่พอใจเป็นอย่างไร ก็ชี้แจงในมรรคและ
ในข้อปฏิบัติไม่ได้
3027.762 -> ในเวลาที่ท่านเหล่านั้นรู้ว่า ข้าพระองค์เป็นท้าวสักกะ
มาจากเทวโลก จึงถามข้าพระองค์ทีเดียวว่า
ท่านทำอะไร จึงได้ลุถึงฐานะนี้
3040.753 -> ข้าพระองค์จึงแสดงธรรม ตามที่ฟังมา
แก่ท่านเหล่านั้น ให้ปรากฏในหมู่ชน
3047.885 -> ท่านเหล่านั้น มีความพอใจด้วยเหตุเพียงเท่านี้ว่า
พวกเราได้เห็นเท้าววาสวะแล้ว
3056.35 -> ในเวลาที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ข้ามความสงสัยได้แล้ว
3064.01 -> ข้าพระองค์ก็จะปราศจากความกลัว
ได้เข้ามานั่งใกล้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ในวันนี้
3072.394 -> ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงกำจัดเสียได้ซึ่งลูกศรคือ ตัณหา
3080.357 -> ซึ่งหาบุคคลเปรียบมิได้ เป็นพระมหาวีระ
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์
3089.549 -> ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ข้าพระองค์กับพวกเทพทั้งหลาย
ทำความนอบน้อมอันใดแก่พรหม
3097.852 -> ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพระองค์
ขอถวายความนอบน้อมนั้น แด่พระองค์
3104.863 -> ข้าพระองค์ขอทำความนอบน้อมแด่พระองค์ด้วยตนเอง
พระองค์เท่านั้น ที่เป็นผู้ตรัสรู้พระนิพพาน
3115.51 -> พระองค์เป็นพระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลกกับ
ทั้งเทวโลก จะหาบุคคลเปรียบพระองค์มิได้
3124.703 -> ลำดับนั้นท้าวสักกะจอมเทพได้ตรัสเรียก ปัญจสิขะ
คันธรรพเทพบุตรมา แล้วตรัสว่า
3133.572 -> พ่อปัญจสิขะ พ่อเป็นผู้มีอุปการะแก่เรามาก ด้วยเหตุที่
พ่อทำให้พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพอพระทัยก่อน
3144.785 -> พ่อทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยก่อนแล้ว
ภายหลังพวกเราจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น
3156.766 -> เราจักตั้งพ่อไว้ในตำแหน่งแทนบิดา พ่อจักเป็นราชา
แห่งคนธรรพ์ และเราจะยกนางภัททาสุริยะวัจฉสา
ให้แก่พ่อ เพราะว่าพ่อปรารถนานางยิ่งนัก
3173.393 -> ท้าวสักกะเปล่งอุทานได้ธรรมจักษุ
3178.545 -> ลำดับนั้นท้าวสักกะจอมเทพ เอาพระหัตถ์ตบปฐพี
แล้วทรงเปล่งอุทาน 3 ครั้งว่า
3187.414 -> นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
3206.103 -> ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้น
3227.307 -> ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ยาการณภาษิตนี้อยู่
ดวงตาเห็นธรรม อันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน
ได้เกิดขึ้นแก่ท้าวสักกะจอมเทพว่า
3242.394 -> สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวล ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
3251.102 -> และบังเกิดขึ้นแก่เหล่าเทพอื่นจำนวนแปดหมื่นองค์
3255.809 -> ปัญหาที่เชิญให้ถาม ที่ท้าวสักกะจอมเทพทูลถามนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงตอบแล้ว ด้วยประการดังนี้
เพราะฉะนั้น ไวยากรณภาษิตนี้ จึงชื่อว่า สักกปัญหา ฉะนี้แล
3275.386 -> จบสักกปัญหสูตรที่ ๘
3321.534 -> อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ภควา,
พุทฺธํ ภควนฺตํ อภิวาเทมิ.
3331.272 -> สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม, ธมฺมํ นมสฺสามิ.
3339.616 -> สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ, สงฺฆํ นมามิ.
3348.943 -> สัพเพ สัตตา
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์
เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น
3358.54 -> อะเวรา
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
3366.157 -> อัพยาปัชฌา
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
3374.501 -> อะนีฆา
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
3382.764 -> สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตน
ให้พ้นจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งสิ้นเถิด
3393.532 -> ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะอธิษฐาน ขออานุภาพแห่ง
บุญกุศล ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนแล้วในวันนี้
3405.79 -> จงเป็นพลวปัจจัย เป็นนิสัยตามส่ง
ให้เกิดปัญญาญาณ ทั้งชาตินี้และชาติหน้า
3415.346 -> ตลอดชาติอย่างยิ่ง จนถึงความพ้นทุกข์
คือ พระนิพพาน เทอญ
3422.877 -> ขอความสุข ความเจริญ
จงมีแก่สาธุชนทุกคน ทุกท่าน เทอญ
ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=PV_Nco4CMa4