อมตะนิทาน  เรื่อง  การฝึกใจ การตามดูใจของตัวเอง คำสอนหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง

อมตะนิทาน เรื่อง การฝึกใจ การตามดูใจของตัวเอง คำสอนหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง


อมตะนิทาน เรื่อง การฝึกใจ การตามดูใจของตัวเอง คำสอนหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง

#vihantaweesak#อมตะนิทาน#การฝึกใจ#การตามดูใจ#ของตัวเอง คำสอนหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง อมตะนิทาน เรื่อง การฝึกใจ การตามดูใจของตัวเอง คำสอนหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง การตามดูใจของตัวเองนี่ น่าสนใจมาก ใจที่ยังไม่ได้ฝึก มันก็คอยวิ่งไปตามนิสัยเคยชินที่ยังไม่ได้ฝึก ไม่ได้อบรม มันเต้นคึกคักไปตามเรื่องตามราว ตามความคะนอง เพราะมันยังไม่เคยถูกฝึก ดังนั้นจงฝึกใจของตัวเอง การปฏิบัติภาวนาในทางพุทธศาสนาก็คือการปฏิบัติเรื่องใจ ฝึกจิตฝึกใจของตัว ฝึกอบรมจิตของตัวเองนี่แหละเรื่องนี้สำคัญมาก การฝึกใจเป็นหลักสำคัญ พุทธศาสนาเป็นศาสนาของใจ มันมีเท่านี้ ผู้ที่ฝึกปฏิบัติทางจิต คือผู้ปฏิบัติธรรมในทางพุทธศาสนา ใจของเรานี่มันอยู่ในกรง ยิ่งกว่านั้นมันยังมีเสือที่กำลังอาละวาดอยู่ในกรงนั้นด้วย ใจที่มันเอาแต่ใจของเรานี้ ถ้าหากมันไม่ได้อะไรตามที่มันต้องการแล้ว มันก็อาละวาด เราจะต้องอบรมใจด้วยการปฏิบัติภาวนา ด้วยสมาธิ นี้แหละที่เราเรียกว่า “การฝึกใจ” พื้นฐานของการปฏิบัติธรรม
ในเบื้องต้นของการฝึกปฏิบัติธรรม จะต้องมีศีลเป็นพื้นฐานหรือรากฐาน ศีลนี้เป็นสิ่งอบรมกาย วาจา ซึ่งบางทีก็จะเกิดการวุ่นวายขึ้นในใจเหมือนกัน เมื่อเราพยายามจะบังคับใจไม่ให้ทำตามความอยาก กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย นิสัยความเคยชินอย่างโลกๆ ลดมันลง อย่ายอมตามความอยาก อย่ายอมตามความติดของตน หยุดเป็นทาสมันเสีย พยายามต่อสู้เอาชนะอวิชชาให้ได้ด้วยการบังคับตัวเองเสมอ นี้เรียกว่าศีล
เมื่อพยายามบังคับจิตของตัวเองนั้น จิตมันก็จะดิ้นรนต่อสู้มันจะรู้สึกถูกจำกัด ถูกข่มขี่ เมื่อมันไม่ได้ทำตามที่มันอยาก มันก็จะกระวนกระวายดิ้นรน ทีนี้เห็นทุกข์ชัดละ
เห็นทุกข์ทำให้เกิดปัญญา
“ทุกข์” เป็นข้อแรกของอริยสัจจ์ คนทั้งหลายพากันเกลียดกลัวทุกข์ อยากหนีทุกข์ ไม่อยากให้มีทุกข์เลย ความจริง ทุกข์นี่แหละจะทำให้เราฉลาดขึ้นล่ะ ทำให้เกิดปัญญา ทำให้เรารู้จักพิจารณาทุกข์ สุขนั่นสิมันจะปิดหูปิดตาเรา มันจะทำให้ไม่รู้จักอด ไม่รู้จักทน ความสุขสบายทั้งหลายจะทำให้เราประมาท กิเลสสองตัวนี้ทุกข์เห็นได้ง่าย ดังนั้นเราจึงต้องเอาทุกข์นี่แหละมาพิจารณา แล้วพยายามทำความดับทุกข์ให้ได้ แต่ก่อนจะปฏิบัติภาวนาก็ต้องรู้จักเสียก่อนว่าทุกข์คืออะไร ตอนแรกเราจะต้องฝึกใจของเราอย่างนี้ เราอาจยังไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร ทำไป ทำไปก่อน ฉะนั้นเมื่อครูอาจารย์บอกให้ทำอย่างใดก็ทำตามไปก่อน แล้วก็จะค่อยมีความอดทนอดกลั้นขึ้นเองไม่ว่าจะเป็นอย่างไรให้อดทนอดกลั้นไว้ก่อน เพราะมันเป็นอย่างนั้นเองอย่างเช่นเมื่อเริ่มฝึกนั่งสมาธิ เราก็ต้องการความสงบทีเดียวแต่ก็จะไม่ได้ความสงบ เพราะมันยังไม่เคยทำสมาธิมาก่อน ใจก็บอกว่า”จะนั่งอย่างนี้แหละจนกว่าจะได้ความสงบ”
อย่าทอดทิ้งจิต
แต่พอความสงบไม่เกิดก็เป็นทุกข์ ก็เลยลุกขึ้น วิ่งหนีเลย การปฏิบัติอย่างนี้ไม่เป็น “การพัฒนาจิต” แต่มันเป็นการ “ทอดทิ้งจิต”ไม่ควรจะปล่อยใจไปตามอารมณ์ ควรที่จะฝึกฝนอบรมตนเองตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ขี้เกียจก็ช่าง ขยันก็ช่าง ให้ปฏิบัติมันไปเรื่อยๆ ลองคิดดูซิ ทำอย่างนี้จะไม่ดีกว่าหรือ การปล่อยใจตามอารมณ์นั้นจะไม่มีวันถึงธรรมของพระพุทธเจ้า
เมื่อเราปฏิบัติธรรม ไม่ว่าอารมณ์ใดจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน แต่ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ปฏิบัติให้สม่ำเสมอ การตามใจตัวเองไม่ใช่แนวทางของพระพุทธเจ้า ถ้าเราปฏิบัติธรรมตามความคิดความเห็นของเรา เราจะไม่มีวันรู้แจ้งว่าอันใดผิด อันใดถูก จะไม่มีวันรู้จักใจของตัวเองและไม่มีวันรู้จักตัวเอง ดังนั้นถ้าปฏิบัติธรรมตามแนวทางของตนเองแล้วย่อมเป็นการเสียเวลามากที่สุด แต่การปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้าแล้วย่อมเป็นหนทางตรงที่สุด
การพัฒนาจิต
ขอให้จำไว้ว่า ถึงจะขี้เกียจก็ให้พยายามปฏิบัติไป ขยันก็ให้ปฏิบัติไป ทุกเวลาและทุกหนทุกแห่ง นี่จึงจะเรียกว่า “การพัฒนาจิต” ถ้าหากปฏิบัติตามความคิดความเห็นของตนเองแล้ว ก็จะเกิดความคิดความสงสัยไปมากมาย มันจะพาให้คิดไปว่า “เราไม่มีบุญ เราไม่มีวาสนาปฏิบัติธรรมก็นานนักหนาแล้ว ยังไม่รู้ ยังไม่เห็นธรรมเลยสักที” การปฏิบัติธรรมอย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็น “การพัฒนาจิต” แต่เป็น “การพัฒนาความหายนะของจิต” ถ้าเมื่อใดที่ปฏิบัติธรรมไปแล้ว มีความรู้สึกอย่างนี้ว่ายังไม่รู้อะไร ยังไม่เห็นอะไร ยังไม่มีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นบ้างเลย นี่ก็เพราะที่ปฏิบัติมามันผิด ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ้นสงสัยด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้อง
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า “อานนท์ ปฏิบัติให้มาก ทำให้มากแล้วจะสิ้นสงสัย” ความสงสัยจะไม่มีวันสิ้นไปได้ ด้วยการคิด ด้วยทฤษฎี ด้วยการคาดคะเน หรือด้วยการถกเถียงกัน หรือจะอยู่เฉยๆไม่ปฏิบัติภาวนาเลย ความสงสัยก็หายไปไม่ได้อีกเหมือนกัน กิเลสจะหายสิ้นไปได้ก็ด้วยการพัฒนาทางจิต ซึ่งจะเกิดได้ก็ด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้องเท่านั้น
การปฏิบัติทางจิตที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น ตรงกันข้ามกับหนทางของโลกอย่างสิ้นเชิง คำสั่งสอนของพระองค์มาจากพระทัยอันบริสุทธิ์ ที่ไม่ข้องเกี่ยวกับกิเลสอาสวะทั้งหลาย นี่คือแนวทางของพระพุทธเจ้าและสาวกของพระองค์ เมื่อเราปฏิบัติธรรม เราต้องทำใจของเราให้เป็นธรรม ไม่ใช่เอาธรรมะมาตามใจเรา ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ ทุกข์ก็จะเกิดขึ้น แต่ไม่มีใครสักคนหรอกที่จะพ้นจากทุกข์ไปได้ พอเริ่มปฏิบัติ ทุกข์ก็อยู่ตรงนั้นแล้ว หน้าที่ของผู้ปฏิบัตินั้นจะต้องมีสติ สำรวม และสันโดษ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราหยุด คือเลิกนิสัยความเคยชินที่เคยทำมาแต่เก่าก่อนทำไมถึงต้องทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ไม่ฝึกฝนอบรมใจตนเองแล้วมันก็จะคึกคะนอง วุ่นวายไปตามธรรมชาติของมัน


Content

4.178 -> สวัสดีครับท่านผู้ฟังที่เคารพ ขอต้อนรับท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการ อมตะนิทาน สำหรับคลิปนี้ เสนอในเรื่อง การฝึกใจ
17.197 -> คำสอนของ หลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง การฝึกใจนั้น การตามรู้ใจของตัวเองนี้น่าสนใจมาก ใจที่ยังไม่ได้ฝึกมันก็คอยวิ่งไปตามนิสัยที่เคยชิน ที่ยังไม่ได้ฝึกไม่ได้อบรมมันจะเต้นคึกคักเข้าไปตามเรื่องตามราวของมัน ตามความคือคะนอง เพราะมันยังไม่เคยถูกฝึก ดังนั้นจงฝึกใจของตนเอง
44.046 -> การปฏิบัติภาวนาในทางพระพุทธศาสนาก็คือ การปฏิบัติในเรื่องของใจฝึกจิตฝึกใจของตัวเอง ฝึกอบรมจิตใจของตัวตนเองนี่แหละ เรื่องนี้สำคัญมากการฝึกใจเป็นหลักสำคัญ ในทางพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของใจ ผู้ที่ฝึกปฏิบัติทางจิตใจ คือผู้ที่ปฏิบัติธรรมะในทางพระพุทธศาสนานั้นเอง
71.547 -> ใจของคนเรานั้น มันอยู่ในกรง ยิ่งกว่านั้นมันยังมีเสือที่กำลังอาละวาดอยู่ในกรงนั้นด้วย ใจที่เอาแต่ใจของตัวเรานี้ ถ้าหากไม่ได้อะไรตามที่ต้องการแล้วเนี่ยะก็จะอาละวาด เราจะต้องอบรมใจ ด้วยการปฏิบัติภาวนา สมาธิ นี่แหละก็คือเรียกว่า การฝึกใจ
97.04 -> ในเบื้องต้นของการฝึกปฏิบัติธรรมะ จะต้องมีศีลเป็นพื้นฐาน หรือว่ารากฐาน ศีลนี้เป็นสิ่งอบรมกายวาจา ซึ่งบางทีก็จะเกิดการวุ่นวายขึ้นในใจเหมือนกัน เมื่อเราพยายามจะบังคับใจ ไม่ให้ทำตามความอยาก กินน้อยนอนน้อยพูดน้อย
120.147 -> นิสัยความเคยชินอย่างโลกๆโดยทั่วไป ก็จะลดลงได้อย่ายอมตามความอยากของตัวเรา อย่ายอมตามความคิดของตัวตนเรา หยุดเป็นทาสของมันเสีย พยายามต่อสู้เอาชนะอวิชชาให้ได้ ด้วยการบังคับตัวตนเองนี่แหละนี่เรียกว่าศีล เมื่อพยายามบังคับจิตของตัวเองนั้น จิตใจมันก็จะดิ้นรนต่อสู้
146.525 -> มันก็จะรู้สึกว่าถูกจำกัดพื้นที่ถูกข่มขี่ เมื่อไม่ได้ทำตามที่มันอยากขึ้นมามันก็จะกระวนกระวายดิ้นรน ทีนี้ความทุกข์ก็จะเห็นชัดล่ะ ทุกข์เป็นข้อแรกของอริยสัจจ์ คนทั้งหลายพากันเกลียดกลัวทุกข์นักหนา อยากหนีความทุกข์ไม่อยากให้มีความทุกข์เลย ความจริงความทุกข์นี่แหละ จะทำให้เรานั้นฉลาดขึ้น ทำให้เกิดปัญญา ทำให้เรารู้จักพิจารณาความทุกข์
178.231 -> สุขนะสิ มันจะทำให้ปิดหูปิดตาตัวเราได้ จะทำให้ไม่รู้จะอด ไม่รู้จักมีความอดทน ความสุขสบายทั้งหลาย จะทำให้เรานั้นเกิดความประมาทขึ้นได้ กิเลสสองตัวนี้ ทุกข์เห็นง่าย ดังนั้น เราจึงต้องเอาความทุกข์นี่แหละมาพิจารณา แล้วพยายามทำความดับทุกข์ให้ได้ แต่ก่อนจะปฏิบัติภาวนาก็ต้องรู้จักเสียก่อนว่า ความทุกข์คืออะไร
207.752 -> ตอนแรกๆ เราอาจจะต้องฝึกใจของเราอย่างนี้ เราอาจจะยังไม่เข้าใจว่า มันเป็นอย่างไร ทำไปทำไมก่อนแบบนี้ ฉะนั้น เมื่อครูบาอาจารย์บอกให้ทำอย่างใด ก็ทำตามไปก่อน แล้วก็จะค่อยๆ มีความอดทนอดกลั้นขึ้นเอง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ให้อดทนอดกลั้นไว้ก่อน
232.181 -> เพราะ มันเป็นอย่างนั้นเอง อย่างเช่นเมื่อเริ่มฝึกนั่งสมาธิ เราก็ต้องการความสงบทีเดียว แต่ก็ไม่ได้ความสงบนั้น เพราะยังไม่เคยทำสมาธิมาก่อนนั่นเอง ใจก็บอกว่า จะนั่งอย่างนี้นั่นแหละ จนกว่าจะได้ความสงบนั้นมา แต่พอความสงบไม่เกิดขึ้น ก็จะเป็นความทุกข์ ก็เลยลุกขึ้น บางคนอาจจะหนีไปเลยก็ได้
259.703 -> การปฏิบัติอย่างนี้ ไม่เป็นการพัฒนาในเรื่องของจิตใจ แต่มันเป็นการพัฒนา เรื่องของทอดทิ้งจิต ไม่ควรจะปล่อยใจให้ตามอารมณ์ของตัวเอง ควรที่จะฝึกฝนอบรมตัวตนเองตามคำสั่งสอนของ พระสมาสัพุทธเจ้า บางคนเกิดความขี้เกียจก็ช่างขยันก็ช่าง ให้ปฏิบัติมันไปเรื่อยๆ
285.548 -> ลองคิดดูนะทำอย่างนี้ จะไม่ดีกว่าหรือ การปล่อยใจตามอารมณ์นั้น จะไม่มีวันถึงธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย เมื่อเราปฏิบัติธรรมะไม่ว่าอารมณ์จะเกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องของมัน แต่ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ปฏิบัติให้สม่ำเสมอ การตามใจตัวเองไม่ใช่แนวทางของพระพุทธเจ้า
310.561 -> ถ้าเราปฏิบัติธรรมะ ตามความคิดความเห็นคนตัวตนเอง เราจะไม่มีวันรู้แจ้งว่า อันใดผิดอันใดถูก จะไม่มีวันรู้จักตัวตนเอง และไม่มีวันรู้จักตนเองด้วย ดังนั้น ถ้าปฏิบัติธรรมะตามแนวทางของตนเองแล้ว ย่อมเป็นการเสียเวลามากที่สุด
334.961 -> แต่การปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมเป็นหนทางตรงที่สุดนั่นเอง ขอให้จำไว้ว่า ถึงจะมีความเกียจคร้านขนาดไหน ก็ให้พยายามปฏิบัติไป ขยันให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ทุกเวลาและทุกหนทุกแห่งนี่จึงจะเรียกว่า การพัฒนาจิต ถ้าหากปฏิบัติตามความคิด ความเห็นของตนเองแล้วเนี่ย ก็จะเกิดความคิดความสงสัยไปมากมาย
365.12 -> จะพาให้คิดไปว่า เราไม่มีบุญ เราไม่มีวาสนา ปฏิบัติธรรมะก็นานหนักหนาแล้ว ยังไม่รู้ยังไม่เห็นธรรมะเลยสักที การปฏิบัติธรรมะอย่างนี้ ไม่เรียกว่าเป็นการพัฒนาจิต แต่เป็นการพัฒนาความหายนะของจิต ถ้าเมื่อใดที่ปฏิบัติธรรมะไปแล้ว มีความรู้สึกอย่างนี้ว่า
390.435 -> ยังไม่รู้อะไร ยังไม่เห็นอะไร ยังไม่มีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นบ้างเลย นี่ก็เพราะที่ปฏิบัติมา เกิดความผิดพลาดไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงสอนว่า อานนท์ปฏิบัติให้มาก ทำให้มาก แล้วจะสิ้นสงสัย ความสงสัยจะไม่มีวันสิ้นไปได้ด้วยความคิดด้วยทฤษฎี ด้วยการคาดคะเน หรือด้วยการถกเถียงกัน
420.592 -> หรือจะอยู่เฉยๆปฏิบัติภาวนาเลย ความสงสัยก็หายไปไม่ได้อีกเหมือนกัน กิเลสจะหายสิ้นไปได้ก็ด้วยการพัฒนาทางจิต ซึ่งจะเกิดได้ก็ด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้องเท่านั้น การปฏิบัติของจิตที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นตรงกันข้ามกับหนทางของโลกอย่างสิ้นเชิง คำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาจากพระทัยอันบริสุทธิ์ ที่ไม่ข้องเกี่ยวกับกิเลสอัศวทั้งหลาย นี่คือแนวทางของพระพุทธเจ้าและสาวกของพระองค์
452.253 -> เมื่อพวกเราปฏิบัติธรรมะ เราต้องทำใจของเราให้เป็นธรรมะก่อน ไม่ใช่เอาธรรมะมาตามใจเรา ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ ทุกข์ก็จะเกิดขึ้น แต่ไม่มีใครสักคนหรอกที่จะพ้นจากทุกข์ไปได้ พอเริ่มปฏิบัติทุกข์ก็อยู่ตรงนั้นแล้วหน้าที่ของผู้ปฏิบัตินั้นจะต้องมีสติ สำรวม และสันโดษ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรานั้นหยุดคือเลิกนิสัยความเคยชิน ที่เคยทำมาแต่เก่าก่อน ทำไมถึงต้องทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ไม่ฝึกฝนอบรมในใจของตัวเอง
488.355 -> แล้วมันก็จะเกิดความคึกคะนอง วุ่นวายไปตามธรรมชาติของจิตใจนั้นธรรมชาติของใจ มันฝึกกันได้ เอามาใช้เป็นประโยชน์ได้ เปรียบได้กับต้นไม้ในป่า ถ้าเราปล่อยทิ้ง ตามธรรมชาติของมัน เราก็จะเอามันมาสร้างบ้านไม่ได้จะเอามันมาทำแผ่นกระดานก็ไม่ได้ หรือทำอะไรอย่างอื่นที่จะใช้สร้างบ้านก็ไม่ได้
514.675 -> แต่ถ้าช่างไม้ ที่ผ่านมา ต้องการไม้ไปสร้างบ้าน เขาก็จะมองหาต้นไม้ในป่านี้ และตัดต้นไม้ในป่านี้ เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ช้าเขาก็จะสร้างบ้านเสร็จเรียบร้อย การปฏิบัติภาวนาและการพัฒนาจิต ก็คล้ายๆ กันอย่างนี้ ซึ่งก็ต้องเอาใจ ที่ยังไม่ได้ฝึกเหมือนไม้ในป่านี่แหละ มาฝึกมาฝนจนละเอียดประณีตขึ้น รู้ขึ้น และก็ว่องไวขึ้น ทุกอย่างมันจะเป็นไปตามสภาวะธรรมชาติของมัน
548.334 -> เมื่อเรารู้จักธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ เราก็เปลี่ยนมันได้ ทิ้งมันได้ปล่อยมันไปก็ได้ แล้วเราก็จะไม่ทุกข์อีกต่อไป ธรรมชาติของใจของเรานั้นก็อย่างนั้น เมื่อใดที่เกาะเกี่ยวผูกพันยึดมั่นถือมั่น ก็จะเกิดความวุ่นวายสับสนขึ้น เดี๋ยวมันก็จะวิ่งวุ่นไปนู่นไปนี่ พอมันวุ่นวายสับสนมากๆเข้าเนี่ย เราก็จะคิดว่า คงจะฝึกอบรมมันไม่ได้แล้ว
579.041 -> แล้วก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมาแทน นี่ก็เพราะว่าไม่เข้าใจว่าต้อง เป็นของมันอย่างนั้นเอง ความคิดว่ารู้สึก มันจะวิ่งไปวิ่งมาอยู่อย่างนี้ แม้เราจะพยายามฝึกปฏิบัติ พยายามให้มันจะสงบ มันก็จะเป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นอย่างอื่นเป็นไปไม่ได้ เมื่อเราติดตามพิจารณาดูธรรมชาติของใจอยู่บ่อยๆ ก็จะค่อยๆเข้าใจว่าธรรมชาติของมัน เป็นของมันอยู่อย่างนั้น
608.765 -> มันจะเป็นอย่างอื่นเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราเห็นอันนี้ชัด เราก็จะทิ้งความคิดความรู้สึกอย่างนั้นได้ ที่นี้ก็ไม่ต้องคิดนั่นคิดนี่อีก คอยจะบอกกับตัวเองไว้อย่างเดียวว่า มันเป็นของขวัญอย่างนั้นเอง พอเข้าใจได้ชัดแจ้งเห็นแจ้งอย่างนี้แล้ว ที่นี้ ก็จะปล่อยอะไรอะไรได้ทั้งหมด ก็ไม่ใช่ว่าความคิดความรู้สึก มันจะหายไป
638.301 -> มันก็ยังอยู่นั่นแหละ แต่หมดอำนาจเสียแล้ว เปรียบก็เหมือนกับเด็กที่ชอบซุกซน ชอบเล่นสนุกสนาน ทำให้เกิดความรำคาญ จนเราต้องดุเอาตีเอา แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของเด็ก ก็เป็นอย่างนั้นเองเพราะรู้อย่างนี้เราก็จะปล่อยให้เด็กนั้นเล่นไปตามเรื่องตามราว ของเขาความเดือดร้อนรำคาญ ของเราก็จะหมดสิ้นไป
666.477 -> มันหมดไปได้อย่างไร ก็เพราะว่า เรายอมรับธรรมชาติของเด็กไง ความรู้สึกของเราก็จะเปลี่ยนไป และเรายอมรับธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย เราปล่อยวาง จิตของเราก็จะมีความสงบเยือกเย็น นี้เรามีความเข้าใจอันถูกต้องแล้ว เป็นสัมมาทิฎฐิ ถ้ายังไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ แม้จะไปอยู่ในถ้ำอันลึกมืดมิดสักเท่าใดก็ตาม ใจมันก็ยังยุ่งเหยิงอยู่ ใจจะสงบได้ก็ด้วยความเห็นที่ถูกต้อง
702.648 -> เป็นสัมมาทิฎฐิเท่านั้น ที่นี้ก็หมดปัญหาจะต้องแก้ เพราะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น นี่มันเป็นอย่างนี้ เราไม่ชอบมันเราปล่อยวางมัน เมื่อใดที่มีความรู้สึกเกาะเกี่ยวยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้น เราปล่อยวางทันที เพราะรู้แล้วว่าความรู้สึกอย่างนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อจะกวนใจเรา
731.401 -> แม้บางทีเราอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงความรู้สึกนั้น เป็นของมันอย่างนั้นนั่นเอง ถ้าเราปล่อยวางมันเสีย รูปก็เป็นสักแต่ว่ารูป เสียงก็เป็นสักแต่ว่าเสียง กลิ่นก็สักแต่ว่ากลิ่น รสก็สักแต่ว่ารส โผฏฐัพพะก็สักแต่ว่าโผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ก็สักแต่ว่าธัมมารมณ์
757.288 -> เปรียบเหมือนน้ำมันกับน้ำท่า ถ้าเราเอาทั้งสองอย่างเทใส่ขวดเดียวกันมันก็ไม่ปนกัน เพราะธรรมชาติมันต่างกัน เหมือนกับที่คนฉลาด ก็ต่างกับคนโง่ พระพุทธองค์ ก็ทรงอยู่กับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ แต่พระองค์ทรงเป็นพระอรหันต์ พระองค์จึงทรงเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งสักว่าเท่านั้น พระองค์ ทรงปล่อยวางมันไปเรื่อยๆ
788.134 -> ตั้งแต่ทรงเข้าพระทัยและว่า ใจก็สักว่าใจ ความคิดก็สักว่าความคิด พระองค์ไม่ทรงเอามาปนกัน ใจก็สักว่าใจความคิดความรู้สึกก็สักว่าความคิดความรู้สึก ปล่อยให้มันเป็นเพียงสิ่งสักว่า รูปก็สักรูป เสียงก็สักว่าเสียง ความคิดก็สักว่าความคิด จะต้องไปยึดมั่นถือมั่นทำไม
815.016 -> ถ้าคิดได้รู้สึกได้อย่างนี้ เราก็จะแยกกันได้ ความคิด ความรู้สึก อารมณ์นั้นๆ อยู่ทางหนึ่ง ใจก็อยู่อีกทางหนึ่ง เหมือนกับน้ำมันกับน้ำท่า อยู่ในขวดเดียวกัน แต่มันแยกกันอยู่ พระพุทธองค์และพระอรหันตสาวกของพระองค์ก็อยู่ร่วมกับปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่ได้รู้ธรรมะ ท่านไม่ได้เพียงอยู่ร่วมเท่านั้น แต่ท่านยังสอนคนเหล่านั้น ทั้งคนฉลาดคนโง่
847.309 -> ให้รู้จักวิธีที่จะศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ และรู้แจ้งในธรรมะ ท่านสอนได้เพราะท่านได้ปฏิบัติมาเอง ท่านรู้ว่ามันเป็นเรื่องของใจเท่านั้น เหมือนอย่างที่ได้พูดมานี่แหละ ดังนั้น การปฏิบัติภาวนานี้อย่าไปสงสัยเลย ผู้ที่เข้าใจธรรมะก็เข้าใจตัวเอง ใครเข้าใจตัวเองก็เข้าใจธรรมะ ทุกวันนี้ก็เหลือแต่เปลือกของธรรมะเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วธรรมะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องหนีไปไหน
881.594 -> ถ้าจะหนีก็ให้มีด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา หนีด้วยความชำนิชำนาญอย่าหนีด้วยความโง่เขลา ถ้าเราต้องการความสงบ ก็ให้สงบด้วยความฉลาดด้วยปัญญาเท่านั้นก็พอ เมื่อใดที่เราเห็นธรรมะ นั่นก็เป็นสัมมาปฏิปทาแล้ว กิเลสก็สักแต่ว่ากิเลส ใจก็สักแต่ว่าใจ เมื่อใดที่เราทิ้งได้ปล่อยวางได้ แยกได้ เมื่อนั้นมันก็เป็นเพียงสิ่งสักว่า เป็นเพียงอย่างนี้อย่างนั้นสำหรับเราเท่านั้นเอง
914.441 -> เมื่อเราเห็นถูกแล้ว ก็จะมีความปลอดโปร่งความเป็นอิสระตลอดเวลาพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านอย่ายึดมั่นในธรรมะธรรมะคืออะไรคือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ ไม่ใช่ธรรมะ ความรักความเกลียดก็เป็นธรรมะ ความสุขความทุกข์เป็นธรรมะ ความชอบความไม่ชอบก็เป็นธรรมะไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่ไหนก็เป็นธรรมะ
942.565 -> เมื่อเราปฏิบัติธรรมะเราเข้าใจอันนี้แล้วเราก็ปล่อยวางได้ดังนั้นก็ตรงกับคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่าไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจเราในชีวิตเราในร่างกายของเรามีความแปรเปลี่ยนไปทั้งนั้น 1 พระพุทธองค์ทรงสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นพระองค์ทรงสอนพระสาวกของพระองค์ให้ปฏิบัติเพื่อละเพื่อถอนไม่ให้ปฏิบัติเพื่อสะสม
972.56 -> แต่ถ้าเราทำตามคำสอนของพระองค์เราก็ถูกเท่านั้นแหละเราอยู่ในทางที่ถูกแล้วแต่บางทีก็ยังมีความวุ่นวายเหมือนกันไม่ใช่คำสอนของพระองค์ที่ทำให้วุ่นวายกิเลสของเราต่างหากนั่นแหละที่มันทำให้วุ่นวายมันมาบังคับความเข้าใจอันถูกต้องเสียก็เลยทำให้เรานั้นวุ่นวายความจริงการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีอะไรลำบากไม่มีอะไรยุ่งยาก
1003.449 -> การปฏิบัติตามทางของพระพุทธองค์ไม่มีความทุกข์เพราะทางของพระพุทธองค์คือปล่อยวางให้หมดทุกสิ่งทุกอย่างจุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติภาวนานั้นท่านทรงสอนให้ปล่อยวางยาแบบถืออะไรให้มันหนักทิ้งมันจะเสียความดีก็ทิ้งความถูกต้องข้อทิ้งคำว่าทิ้งคือปล่อยวางไม่ใช่ไม่ต้องปฏิบัติแต่หมายความว่าให้ปฏิบัติการละการปล่อยวางนั่นแหละ
1032.883 -> ขอพระองค์ทรงสั่งสอนให้พิจารณาธรรมทั้งหลายที่กายที่ใจของเราธรรมะไม่ได้อยู่ไกลที่ไหนอยู่ตรงนี้อยู่ที่กายที่ใจของเรานี่แหละดังนั้นนักปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างเข้มแข็งเอาจริงเอาจังให้ใจมันพองใสขึ้นสว่างขึ้นให้มันเป็นอิสระขึ้นทำความดีอะไรแล้วก็ปล่อยมันไปอย่าไปยึดไว้หรืองดเว้นการทำชั่วได้แล้วก็ปล่อยมันไป
1064.583 -> พระพุทธเจ้าทรงสอนให้อยู่กับปัจจุบันนี้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ไม่ใช่อยู่กับอดีตหรือว่าอนาคตคำสอนที่เข้าใจผิดกันมากแล้วก็ถูกเถียงกันมากที่สุดตามความคิดเห็นของตนก็คือเรื่องของการปล่อยวางหรือการทำงานด้วยจิตว่างนี่แหละการพูดอย่างนี้เรียกว่าภาษาธรรมะเมื่อเอามาคิดเป็นภาษาโลกมันก็เลยยุ่งกันใหญ่แล้วก็ตีความหมายว่าอย่างนั้น จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ
1096.135 -> ความจริงมันหมายความอย่างนี้อุปมาเหมือนว่าเราเนี่ยแบบก้อนหินหนักหยุดก็ 1 แบบไปก็รู้สึกหนักแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันก็ได้แต่แบกอยู่อย่างนั้นแหละพอมีใครบอกว่าว่าให้โยนมันทิ้งจะสิก็มาคิดอีกแล้วอ้า AE ถ้าเราโยนมันทิ้งไปแล้วเราก็ไม่มีอะไรหรือละสิก็เลยแบบอยู่อย่างนั้นไม่ยอมทิ้งไปถ้าจะมีใครบอกว่าโยนทิ้งไปเถอะ
1124.162 -> แล้วจะดีอย่างนั้นเป็นประโยชน์อย่างนี้เราก็ยังไม่ยอมโยนทิ้งอยู่นั่นแหละเพราะกลัวแต่ว่าจะไม่มีอะไรเหลือก็เลยแบบก้อนหินหนักไว้จนเหนื่อยอ่อนเพลียเต็มทีจนแบบไม่ไหวแล้วก็ปล่อยวางมันตกลงมาเอง ขั้นตอนที่ปล่อยวางมันตกลงมานี่แหละก็จะเกิดความรู้เรื่องการปล่อยวางขึ้นมาเลยเราจะรู้สึกเบาสบาย
1149.825 -> แล้วก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่าการแบบก้อนหินนั้นมันหนักเพียงใดแต่ตอนที่เราแบบอยู่นั้นเราไม่รู้ว่าการปล่อยวางมีประโยชน์เวียนใดดังนั้นถ้ามีใครมาบอกให้ปล่อยวางคนที่ยังมืดอยู่ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะหลับหูหลับตาแบกก้อนหินก้อนนั้นอย่างไม่ยอมปล่อย
1172.778 -> จนกระทั่งมันหนักจนเหลือที่จะทนนั่นแหละก็จะยอมปล่อยแล้วก็จะรู้สึกได้ด้วยตัวเองว่ามันเบามันสบายแค่ไหนที่ปล่อยมันไปได้ต่อมาเราอาจจะไปแบกอะไรอีกก็ได้แต่ตอนนี้เราพอรู้แล้วว่าผลของการแบบนั้นมันเป็นอย่างไรเราก็จะปล่อยมันไปได้โดยง่าย ข้อความเข้าใจในความไร้ประโยชน์ของการแบกหามและความเบาสบาย
1201.121 -> ของการปล่อยวางนี่แหละคือตัวอย่างที่แสดงถึงความรู้จักตัวตนเองการยึดมั่นถือมั่นในตัวของเราก็เหมือนก้อนหินหนักก็นั้นเพราะคิดว่าจะปล่อยตัวเราก็เกิดความกลัวว่าปล่อยไปแล้วก็จะไม่มีอะไรเหลือเหมือนกับที่ไม่ยอมปล่อยก้อนหินก้อนนั้นแต่ในที่สุดเมื่อปล่อยมันไปได้เราก็จะรู้สึกเองถึงความเบาสบายในการที่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น
1231.632 -> ในการฝึกใจนี้เราต้องไม่ยึดมั่นทั้งสาระเสินทั้งนินทาความต้องการแต่สรรเสริญและไม่ต้องการนินทานั้นเป็นวิธีทางของโลกแต่แนวทางของพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านั้นให้รับสาระเสินตามเหตุตามปัจจัยของมันและก็ให้รับนินทาตามเหตุตามปัจจัย ชื่อของมันเช่นกันเหมือนอย่างกับการเลี้ยงเด่นบางทีถ้าเราไม่ดุเด็กตลอดเวลาเนี่ย
1263.13 -> มันก็ดีเหมือนกันผู้ใหญ่บางคนดูมากเกินไปผู้ใหญ่ที่ฉลาดย่อมรู้จักว่าเมื่อใดควรดุเมื่อใดควรชมใจของเราก็เหมือนกันใช้ปัญญาเรียนรู้จักใจใช้ความฉลาดรักษาใจไว้แล้วเราก็จะเป็นคนฉลาดที่รู้จักฝึกใจเมื่อฝึกบ่อยๆมันก็จะสามารถกำจัดทุกข์ได้
1286.882 -> ความทุกข์เกิดขึ้นที่ใจนี่เองมันทำให้ใจในสับสนมือถือวัวมันเกิดขึ้นที่นี้มันก็จะหมดไปเองเรื่องของใจมันเป็นอย่างนี้บางทีก็คิดดีบางทีก็คิดชั่ว ก็ใจมันหล่อรวมเป็นมายาจงอย่าไว้ใจแต่จงมองเข้าไปในใจมองให้เห็นความเป็นอยู่อย่างนั้นของมันยอมรับมันอย่างนั้นทั้งใจดีใจชั่วเพราะเป็นของมันอย่างนั้น
1317.882 -> ถ้าเราไม่ไปยึดมั่นมันก็จะเป็นของมันอยู่แค่นั้นถ้าเราไปยึดมั่นเข้าเราก็จะถูกมันกัดเอาแล้วเราก็จะเป็นความทุกข์เข้าใจเป็นสัมมาทิฎฐิแล้วก็จะมีแต่ความสงบจะเป็นสมาธิจะมีความฉลาดไม่ว่าจะนั่งหรือว่าจะนอนก็จะมีแต่ความสงบไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรก็จะมีแต่ความสงบวิธีการปฏิบัติธรรมะมีมากมายพูดเรื่องการภาวนา
1346.986 -> ไม่มีที่สิ้นสุดสิ่งที่จะทำให้เกิดความสงสัยมีมากมายหลายอย่างแต่แต่ให้กว่ามันออกไปเรื่อยๆแล้วจะไม่เหลือความสงสัยเมื่อเรามีความเข้าใจถูกต้องเช่นนี้ไม่ว่าจะนั่งหรือว่าจะเดิน ค่ะก็จะมีแต่ความสงบความสบายไม่ว่าจะปฏิบัติภาวนาที่ไหนให้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอย่าถือว่าการปฏิบัติภาวนาแต่เฉพาะขณะนั่งหรือเดินเท่านั้นทุกสิ่งทุกอย่างทุกหนทุกแห่งเป็นการปฏิบัติได้ทั้งนั้น
1378.593 -> ให้รู้สึกตัวพร้อมอยู่ตลอดเวลาให้มีสติอยู่ให้เห็นการเกิดดับของกายและใจแต่อย่าให้มันมาทำใจให้วุ่นวายให้ปล่อยวางไปความรักเกิดขึ้นก็ปล่อยมันไปมันมาจากไหนก็ให้มันกลับไปที่นั่นความโลกเกิดขึ้นก็ปล่อยมันไปตามมันไปตามดูมันอยู่ที่ไหนแล้วตามไปส่งมันให้ถึงที่อยากเก็บมันไว้สักอย่างเลยนะถ้าท่านเป็นผู้ปฏิบัติได้อย่างนี้ท่านก็จะเหมือนกับบ้านว่าง
1412.39 -> หรือพูดอีกอย่างก็คือมีใจว่าง เป็นใจพี่ว่างและอิสระจากกิเลสความชั่วทั้งหลายเราเรียกว่าใจว่าง ถ้าไม่ใช่ว่างเหมือนว่าไม่มีอะไรมันว่าจะกิเลสแต่เต็มไปด้วยความชราด้วยปัญญาฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำด้วยปัญญาคิดด้วยปัญญาจะมีแต่ปัญญาเท่านั้นนี่เป็นกันสอนที่ขอมอบให้
1438.044 -> สำหรับท่านที่ฟังธรรมะในครั้งนี้แล้วนำไปใช้กับใจของตัวท่านเองให้สงบก็ดีแล้วไม่จำเป็นจะต้องมาจะจดจำอะไรบางคนอาจจะไม่เชื่อถ้าเราทำใจให้สงบฟังแล้วก็ไม่ให้ผ่านไปก็นำมาพิจารณาอยู่เรื่อยๆอย่างนี้ท่านเองก็จะเข้าใจไปเรื่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกอย่างก็อยู่ในนั้นขอมอบธรรมะนี้ต่อท่านผู้ฟังทุกท่าน
1464.3 -> เท่านี้ก็ดีแล้ว เพียงพอแล้วจากคำสอนของหลวงพ่อชาสุภัทโทผู้ใดให้ธรรมะเป็นทานผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย ท้ายนี้ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยอำนวยอวยชัยให้ท่านที่ได้ฟังทำมานี้จนจบจงมีความสุขความเจริญ ไปที่การงานและการดำรงชีวิตอยู่ดีมีโชคด้วยเทอญช่วยกดติดตามและกดแชร์คลิปนี้ เพื่อให้เป็นธรรมทานแก่บุคคลที่ท่านรักเคารพนับถือด้วย ได้บุญจากการให้สาธุ เจริญในบุญขอขอบคุณและสวัสดีครับ...

ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=wpwE9iGOLfg