ฟังธรรมก่อนนอน EP.26 พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ควรปล่อยวางอย่างไร

ฟังธรรมก่อนนอน EP.26 พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ควรปล่อยวางอย่างไร


ฟังธรรมก่อนนอน EP.26 พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ควรปล่อยวางอย่างไร

ฟังธรรมก่อนนอน EP.26 พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ควรปล่อยวางอย่างไร

ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่สมัครสมาชิกแบบรายเดือนกับช่องยูทูป PURIFILM Channel ครับ
สมัครสมาชิกแบบรายเดือนคลิกลิงก์นี้เลยครับ    / @purifilmch  

*****จัดทำ และบรรยายเสียงโดย. ►PURIFILM Channel
สอบถามรายละเอียดได้ที่ ►โทร.064-945-4441 (ภูริ)

*****ติดตามรับชมได้ที่ :
Youtube : ►   / purifilmmv  
Facebook : ►https://www.facebook.com/purifilmstudio/
Blogger : ► http://purifilm.blogspot.com/
Instagram : ►https://www.instagram.com/purifilmstu
twitter : ►https://twitter.com/PurifilmStudio

#ฟังธรรมก่อนนอน #พลัดพรากจากสิ่งที่รัก #ควรปล่อยวางอย่างไร


Content

7.72 -> ฟังธรรมก่อนนอน กับภูริฟิล์ม คลิบนี้เสนอตอน พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ควรปล่อยวางอย่างไร
19.26 -> PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
26.5 -> ครูบาอาจารย์ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เมื่อมีเริ่มต้น ก็ย่อมจะมีสิ้นสุด ดังคำภาษิตที่ว่า มิมีงานเลี้ยงใด ที่ไม่เลิกรา ดังนั้น เราทุกคนเมื่อเกิดมาแล้ว ก็ล้วนต้องพลัดพรากจากสิ่งของ หรือคนที่รักเป็นธรรมดา แม้เราจะต้องการ หรือไม่ต้องการก็ตาม
60.92 -> เพราะไม่มีใครสามารถจะหลีกเลี่ยงไปได้ ท่านว่า ชีวิตนี้ของเรา จะต้องมีความพลัดพรากเป็นที่สุด และเมื่อพลัดพรากจากคนที่รัก หรือสิ่งอันเป็นที่รักแล้ว ความโศก ความเสียใจ ก็ย่อมจะเกิดขึ้น ยิ่งถ้าเรารักมาก เราก็จะยิ่งเสียใจมาก และได้รับความทุกข์ อย่างแสนสาหัส บางคนอาจถึงขั้นละทิ้งการงาน กินไม่ได้นอนไม่หลับ
98.14 -> บางคนโศกเศร้าเสียใจ จนเจ็บไข้ได้ป่วยเสียชีวิต หรือฆ่าตัวตายก็มี บางคนเสียใจ ซึมเศร้า เป็นบ้า และจมอยู่กับความหลัง ไร้อนาคต หมดหนทางในชีวิตก็มีเช่นกัน
117.72 -> แล้วทำไมเรา จึงมีความเศร้าโศกเสียใจด้วย ท่านว่าที่เราเป็นแบบนี้ ก็เพราะเรา มีความติดข้อง ผูกพัน ในสิ่งอันเป็นที่รัก ซึ่งถ้าเราไม่มีความติดข้อง และผูกพัน เราก็จะไม่มีความเสียใจ ในการพลัดพรากจากสิ่งนั้น แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเราจะปล่อยวาง หรือดับความติดข้องนั้น ได้อย่างไร
150.14 -> ซึ่งในเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า เราจะต้องเข้าใจตามความเป็นก่อนจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราติดข้องพอใจนั้น แท้จริงแล้ว ก็เป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละอย่าง ที่มันเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ซึ่งเราจะต้องใช้ปัญญาพิจารณา ถึงจะคลายความติดข้องไปได้
179.32 -> ดังนั้น การอบรมเจริญปัญญา ที่เริ่มจากการฟังธรรม หรือศึกษาธรรม แล้วค่อยๆ ฝึกเรียนรู้ ปฏิบัติ ก็จะช่วยทำให้เราเข้าใจมากขึ้น ท่านว่า โลกนี้เป็นโลกของความทุกข์ เมื่อมีการเกิด ก็ต้องมีการแก่ เจ็บ และตายในที่สุด ถามว่าสิ่งเหล่านี้ เราพอใจหรือไม่ ก็เปล่าเลย
209.6 -> แต่ถึงเราจะไม่พอใจอย่างไร มันก็เป็นไปของมันอย่างนั้น เพราะเมื่อมีเกิด ความตายก็ติดตามมาด้วย แต่ที่เราเป็นทุกข์ ก็เพราะเราพยายามจะฝืนมัน ซึ่งธรรมดาของโลกมันเป็นแบบนี้ สรรพสิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปรอยู่ทุกขณะ มันไม่มีอะไร จะคงอยู่ในสถานะเดิม เมื่อสภาพเก่าสิ้นไป สภาพใหม่ก็จะมาแทนที่
241.92 -> เพราะหากคนและสัตว์ เกิดมาแล้วไม่ตายไป โลกใบนี้ ก็คงจะคับแคบ และแน่นขนัด มีสภาพ ที่ไม่น่าอยู่เหมือนปัจจุบัน ท่านว่า วิถีธรรมชาติมันเป็นเช่นนี้ การเกิด แก่ เจ็บ และตาย ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ส่วนความสุขในโลก ก็เปรียบเสมือนความฝัน อย่างเช่น ทรัพย์สมบัติ ข้าวของเงินทอง
274.2 -> สิ่งเหล่านี้ มันไม่ใช่ของเรา เราแค่ขอยืมมาเท่านั้นเอง เมื่อตายไปแล้วเราก็ทิ้งหมด ดังนั้นอย่าไปหลงมัวเมา เพราะสิ่งเหล่านั้น มันอยู่กับเราไม่นาน แต่ความแก่ ความเจ็บ และความตายสิ่งเหล่านี้ เป็นของเราแท้ๆ ที่เราหนีไม่พ้น
298.52 -> ท่านว่า โลกธรรม ๘ สิ่งธรรมดาของโลก ลาภ ยศ สรรเสริญ ความสุข ความทุกข์ ความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ และนินทา สิ่งเหล่านี้เป็นของคู่โลก ที่เราจะต้องพบเจอ สี่ข้อแรก ลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุข เป็นที่น่าชื่นชมยินดี เราทุกคนอยากมีอยากได้
326.7 -> แต่สี่ข้อหลัง ความทุกข์ ความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ และนินทา เป็นสิ่งที่ไม่น่ายินดี เราไม่ปรารถนา แต่เราก็หลีกเลี่ยงไม่พ้น ดังเช่น เมื่อเรามีลาภ พอถึงคราว เราก็เสื่อมลาภ เมื่อมียศ พอถึงคราว เราก็ต้องเสื่อมยศเป็นธรรมดา
352.18 -> ฉะนั้น อย่ามัวเมากับโลกธรรม ในฝ่ายที่น่ายินดี และอย่าไปโศกเศร้าเกินไป เมื่อถึงคราวที่ต้องเสื่อมลาภ ท่านว่าคนเรา เมื่อเกิดมาก็มาตัวเปล่า ไม่มีใครจะนำเอาทรัพย์สิน หรือเครื่องประดับติดตัวมาด้วย และเมื่อตายไป เราก็ต้องทิ้งสมบัติ ที่หามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก เอาไว้เบื้องหลัง
382.26 -> เพราะไม่มีใคร จะนำสมบัติ แม้แต่ชิ้นเดียวติดตัวไปได้ ดังนั้น เมื่อทรัพย์สมบัติทั้งหลาย มีภาวะความจริงเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่ควร จะไปยึดมั่นว่า เป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว เราควรจะคิดอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของโลก ส่วนที่อยู่ในความ ครอบครองของเรา มันเป็นเพียงการยืมมาใช้ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง
415.76 -> พระพุทธองค์สอนให้เรา พิจารณาเนืองๆ ไว้ ๕ ประการ นั่นก็คือ
422.96 -> ๑. เราจะต้องแก่เป็นธรรมดา เราจะไม่แก่ไม่ได้ ๒. เราจะต้องเจ็บไข้เป็นธรรมดา เราจะไม่เจ็บไข้ไม่ได้ ๓. เราจะต้องตายเป็นธรรมดา เราจะไม่ตายไม่ได้ ๔. เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ๕. เรามีกรรมเป็นของตัวเอง เมื่อทำกรรมใดไว้ จะกรรมดี หรือกรรมชั่วก็ตาม เราจะต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
459.82 -> และวิธีระงับคลายความโศกเศร้า ที่เป็นอุบายของพระพุทธเจ้า และพระสาวก ที่ท่านทรงใช้สอนเตือนสติ ให้ผู้ที่กำลังมีความทุกข์จากการพลัดพราก เพื่อให้หายจากโศกเศร้าเสียใจ และคลายความทุกข์ลงไปได้ นั่นก็คือเรื่องของ นางกิสาโคตมี
484.96 -> ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า ในอดีตกาล ณ กรุงสาวัตถี มีหญิงสาวยากจนชื่อว่า กิสาโคตมี นางกิสาโคตมี เมื่อเธอแต่งงานแล้ว พ่อแม่และญาติของสามี ต่างก็ดูหมิ่นดูแคลน เพราะนางเป็นคนยากจน แต่ต่อมาไม่นาน เมื่อนางคลอดลูกชายออกมา ก็ได้รับการยกย่อง จากพ่อแม่และญาติของสามี
516.1 -> แต่นางก็ดีใจไม่นาน เมื่ออยู่ๆ ลูกชายของนางก็ตายไป ขณะวิ่งเล่น นางจึงเสียใจร้องให้จะเป็นบ้า และด้วยความขาดสตินี้เอง นางจึงอุ้มร่างลูกชายวิ่งไปทั่วเมือง เพื่อร้องขอยา จนมีชายคนหนึ่งได้แนะนำนางว่า ให้ไปขอยาจากพระพุทธองค์ เมื่อได้ยินดังนั้น นางก็รีบไปขอ
545.22 -> พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ให้ไปนำเมล็ดผักกาดหยิบมือหนึ่ง มาจากบ้าน ที่ไม่เคยมีคนตายมาก่อน นางกิสาโคตมี รีบอุ้มลูกชายวิ่งเข้าไปในเมืองอีกครั้ง พอไปที่บ้านหลังแรก นางก็ถูกปฏิเสธ เพราะบ้านหลังแรกมีคนเคยตายมาแล้ว หลังจากนั้น นางก็ไปบ้านหลังอื่นๆ จนกระทั้งเย็น นางก็ไม่ได้เมล็ดผักกาด
576.16 -> เพราะทุกบ้านที่นางไป ก็ล้วนมีคนเคยตายมาแล้วทั้งสิ้น ขณะนั้นเอง นางจึงได้สติ นางสำคัญว่า ลูกชายของนางเท่านั้นที่ตายไป แต่ในบ้านทุกหลัง ล้วนมีคนเคยตายมาแล้ว เมื่อนางคิดได้ดังนั้น ก็สลดใจ คลายความโศกเศร้าลง จากนั้น นางก็ออกไปนอกเมือง นำศพลูกชายไปไว้ที่ป่าช้า แล้วก็กลับไปเฝ้าพระพุทธองค์
610.68 -> พระพุทธองค์จึงตรัสว่า เธอเข้าใจว่า ลูกชายของเธอเท่านั้นที่ตายไป แต่ความตายนี้ เป็นธรรมที่ยั่งยืน สำหรับสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่านางกิสาโคตมี เธอถูกความโศกเศร้าครอบงำอย่างหนัก หากพระพุทธเจ้าตรัสบอกนางว่า ไม่มียารักษาลูกชายของเธอที่ไปตายแล้ว นางกิสาโคตมี ก็คงไม่เชื่อ
642.34 -> พระพุทธองค์จึงตรัสให้นาง ไปหาเมล็ดผักกาดจากบ้านของคน ที่ไม่เคยมีใครตายมาก่อน และเมื่อมีความหวังว่า จะได้ยามารักษาลูกชาย นางกิสาโคตมี ก็รู้สึกดีใจ แต่เมื่อตระเวนไปทั่วเมืองแล้ว นางก็ได้ทราบความเป็นจริงของชีวิต นางก็สลดใจ และก็คิดได้ว่า
669.38 -> เราทุกคน มีความตายเป็นธรรมดา และพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นธรรมดา ไม่ใช่ลูกของนางเท่านั้นที่ตายไป เมื่อคิดได้อย่างนี้ นางกิสาโคตมี ก็คลายความโศกเศร้าเสียใจลงไปได้
698.1 -> ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิด ในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วม ในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=YkIISqoQjII